วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2555

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ


               ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushii Inari Taisha Shirine)  หรือ ศาลเจ้าพ่อจิ้งจอกขาว  สร้างขึ้นเพื่อบูชาสุนัขจิ้งจอก ที่เชื่อกันว่าเป็นทูตของเทพเจ้าของการเก็บเกี่ยว   พื้นที่บริเวณนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยน้ำ ปลูกข้าวจึงได้ผลผลิตที่ดีมีคุณภาพ  จึงเป็นแหล่งของการผลิตเหล้าสาเกคุณภาพดีด้วยเช่นกัน


    ศาลเจ้าแห่งนี้มีสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของญี่ปุ่นปรากฎอยู่ แทบทุกคนต้องเคยเห็นภาพอุโมงค์ทางเดินที่เกิดจากการเรียงโทริอิสึแดงจ้ากว่าหนึ่งหมื่นซุ้ม ทอดสู่ฟูชิมิอินาริไทชะ หรือศาลเจ้าพ่อสุนัขจิ้งจอก ชาวนาเชื่อกันว่าเป็นผู้เดินสารของเทพแห่งการเก็บเกี่ยว ใช้เวลาเดินราว 2 ชั่วโมงหรือเป็นระยะทาง 4 กิโลเมตร ก็จะพบศาลแห่งนี้


        วัดเซ็นโซจิ หรืออาซากุสะคันนง (Asakusa Kannon) ที่เรียกกันว่าวัดอาซากุสะ เพราะที่ตั้งอยู่ในย่านอาซากุสะ  ซึ่งวัดนี้เป็นวัดเก่าและน่าจะเป็นวัดพุทธที่เก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคคันโตและมีนักท่องเที่ยวนิยมมา เยือนกันแน่นขนัดทุกปี และซื้อของที่ระลึกซึ่งมีร้านรวงตั้งเป็นแถวยาวให้เลือกจับจ่าย จึงทำให้วัดแห่งนี้รุ่งเรืองและคึกคักด้วยผู้คน วัดนี้มีตำนานของวัดแห่งนี้เล่าต่อๆกันมาว่าได้มีชายหาปลาสองคนพี่น้องมาทอดแหในแม่น้ำสุมิดะ  แต่กลับได้รูปปั้นพระโพธิสัตว์ หรือ เทวรูปคันนง (Kannon)แทน ด้วยความศรัทธาของ 2 พี่น้องและชาวบ้านของหมู่บ้านละแวกนั้น จึงได้อัญเชิญเทวรูปคันนงประดิษฐาน ณ วัดแห่งนี้  โดยหัวหน้าหมู่บ้านจึงสร้างวัดขึ้นใน ค.ศ. 628 เพื่อประดิษฐานรูปปั้นนั้น และตำนานยังมีต่ออีกว่าในช่วงเวลาใกล้เคียงกันกับที่พบรูปปั้นได้ปรากฎมังกร ทองตัวหนึ่งเลื้อยลงมาจากสวรรค์ บรรดาโชกุนและซามูไรต่างก็นิยมมาสักการะที่วัดนี้ ทางทิศตะวันออกของวัดคือ แม่น้ำซูมิดะงาวะ(Sumida-gawa) ไหลลงอ่าวโตเกียวและใกล้ๆกันจะมีสวนสาธารณะซูมิดะโคเอ็น(Sumida Koen) ซึ่งเปิดโล่งสู่แม่น้ำด้วยบรรยากาศสวยงามน่าเดินเล่น โดยเฉพาะช่วงดอกซากุระบานสะพรั่ง ริมแม่น้ำแห่งนี้ยิ่งสวยงามเหนือคำบรรยาย
       วัดอาซากุสะ คือศูนย์กลางแห่งสรรพสิ่งอันสุนทรีย์ในโตเกียว บ่อเกิดวัฒนธรรมการละคร, วรรณคดี, การทำอาหาร และความสุขทางเพศ วัฒนธรรมและสังคมในย่านนี้เบ่งบานด้วยน้ำมือของพวกที่ย้ายถิ่นฐาน แรกสุดเป็นหญิงคณิกาในถิ่นโยชิวาระ ความเจริญของอาซากุสะซึ่งตั้งอยู่นอกประตูเมืองเอโดะด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้ตลอดลำน้ำซูมิดะงาวะกลายเป็นท่าเรือค้าขายเปี่ยมชีวิตชีวา ฉางข้าวสำคัญของโชกุนเองก็ตั้งอยู่ที่นี่ สิ่งที่อยู่คู่กันมากับย่านอาซากุสะคือวัดเซ็นโซจิ หรืออาซากุสะคันนง ซึ่งน่าจะเป็นวัดพุทธเก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคคันโตแลมีผู้คนทั่วสารทิศหลั่ง ไหลมากราบไหว้ พร้อมกับซื้อของในละแวกนี้ จนสร้างความรุ่งเรืองให้กับย่านอาซากุสะ



ภูเขาไฟฟูจิ     ภูเขาไฟฟูจิ     รถเคเบิลขึ้นภูเขาไฟฟูจิ

       ภูเขาไฟฟูจิ ได้รับการยกย่องว่าเป็นภูเขาที่สวยขนาดไม่มีภูเขาลูกใดมาเทียบเคียงได้ และทะเลสาบอาชิ ในฮาโกเนะก็เป็นทะเลสาบที่คนนิยมมาบันทึกภาพเก็บไว้บ่อยครั้งที่สุด พื้นที่ส่วนใหญ่ของฟูจิและฮาโกเนะถูกกำหนดให้เป็น อุทยานแห่งชาติ ภูเขาไฟฟูจิ โผล่พ้นผิวมหาสมุทรเป็นรูปกรวยคว่ำได้ส่วนงามสง่า ภูเขาไฟฟูจิเป็นดินแดนต้องห้ามของผู้หญิงมาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว ตราบจนกระทั่งถึงปี 1867 ความเชื่อดังกล่าวเริ่มถูกลบล้าง เมื่อหญิงชาวอังกฤษคนหนึ่งอาจหาญปีนขึ้นภูเขาลูกนี้ และทุกวันนี้นักปีนเขาราวครึ่งหนึ่งจาก 400,000 คนที่มาปีนภูเขาฟูจิในแต่ละปีเป็นผู้หญิง



       ปราสาทโอซาก้า (Osakajo) : เมืองโอซาก้า

ปราสาทโอซาก้าเป็นสัญญลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองโอซา ก้า สร้างขึ้นเป็นครั้งแรกบนบริเวณที่เคยเป็นวัด Osaka Hongan-ji เมื่อปีค.ศ.1583 โดย โชกุนโทยะโตมิ ฮิเดโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) (ค.ศ.1537-1598) นักรบระดับไดเมียวผู้พยายามรวบรวม ประเทศเป็นครั้งแรก หอคอยประสาทหรือส่วนที่เรียกว่า Tenshukaku แล้วเสร็จลงสองปีต่อมา แต่หลังจากสงคราม Osaka Natsu No-jin ในปีค.ศ.1615 ตระกูล Toyotomi ถูกฆ่าล้างโคตร Tenshukaku ก็ถูกทำลายลงย่อยยับ ต่อมาได้รับการบูรณะใหม่ในสมัย Tokugawa แต่น่าเสียดายที่ในปีค.ศ.1665 ได้ถูกฟ้าฝ่าเสียหายย่อยยับอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ปราสาทโอซาก้าไม่มี Tenshukaku มานานปี จนกระทั่งในปี 1931 นายกเทศมนตรีเมืองโอซาก้า นาย Seki ได้ขอรับเงินบริจาคจากชาวเมืองจำนวนหนึ่งล้านห้าแสนเยน (เท่ากับราว 75,000 ล้านเยนในปัจจุบันนี้) มาบูรณะปราสาทใหม่
     ปราสาทโอซาก้าปัจจุบันสูง 55 เมตร มี 5 ส่วน 8 ชั้น เครื่องประดับหลังคาและภาพเสือบนกำแพงตัวปราสาทและหลายๆส่วนลงทองสีอร่ามสวยงาม (ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกสำคัญของประเทศ) บนหอคอยชั้น 8 ของ Tenshukaku ท่านสามารถมองเห็นทิวทัศน์โดยรวมของ เมืองโอซาก้าได้อย่างชัดเจน ในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวจากทั้งในและนอกประเทศมาเยือนปีละราว 1-3 ล้านคน
     นอกจากตัว Tenshukaku อันงดงามแล้ว ภายในตัวปราสาท ยังมีนิทรรศการแสดงหลักฐาน ภาพเขียน เครื่องแต่งกายโบราณ ฯลฯที่เกี่ยวข้องกับประสาทและตระกูล Toyotomi อยู่ ส่วนบริเวณรอบๆปราสาทก็เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่มีดอกไม้ใบไม้งามสะพรั่งในทุกๆฤดู เป็น ที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองด้วย






     ฟุราโน (Furano)
 แม้จะเป็นเมืองเล็กๆ ที่เกือบจะถูกกลืนพื้นที่เข้าไปในรวมอยู่กับเมืองใหญ่ที่อยู่รอบข้างแต่ฟูราโนก็้เป็นเมืองที่มี ีความสำคัญในฐานะเมืองแห่งการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลดอกไม้บาน ซึ่งทั่วทั้งเมืองจะเต็มไปด้วย ทุ่ง ดอกลาเวนเดอร์ (Lavender Fields) และดอกไม้นานาพันธุ์ รวมถึงผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และบำรุงผิวพรรณชั้นยอด ที่สกัดกลิ่นและสารอันเป็นประโยชน์จากดอกไม้สวยๆ ทั้งหลาย แต่สำหรับฤดูกาลอันหนาวเย็นอย่าง ฤดูหนาวเมืองฟูราโนยังมีกิจกรรมสนุกพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่จนสิ้นฤดูกาลเช่นกัน



       คิโยมิซุเดระ (Kiyomizu Temple) วัดซึ่งมีวิหารใหญ่ ตั้งอยู่บนไหล่เขา รองรับด้วยเสาไม้มหึมา โดยระเบียง อันเป็นเวทีร่ายรับนั้นยื่นชะโงกเงื้อมเหนือหุบเหว คนญี่ปุ่นจะเปรียบเทียบผู้ที่ต้องเสี่ยงครั้งสำคัญในชีวิตว่าเหมือนกับการ กระโดดลงมาจากระเบียงแห่งนี้
      วัดนี้มีอายุเก่าแก่กว่านครเกียวโต โดยสร้างในปี ค.ศ. 788 ถวายแด่พระโพธิสัตว์กวนอิม 11 พักตร์ประตูทางเข้าวัดด้านหน้ามีทวารบาล ประจำสองข้าง สูง 3.6 เมตร เบื้องขวาอ้าปากเบื้องซ้ายปิดปาก ซึ่งหมายถึงคำว่าโอมในภาษาสันสกฤต ด้านหลังวิหารใหญ่และเวทีร่ายรำนั้นคือศาลเจ้าจิชู ซึ่งเป็นศาลที่รู้จักกันดีที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น เนื่องจากเป็นที่ประทับของเทพแห่งความรักและความราบรื่นในชีวิตสมรส ที่ศาลเจ้าจิชูมีหินตาบอด ซึ่งห้ามเดินข้ามแต่ถ้าหากสาวๆ จะเดินผ่านก้อนหินที่ขนาบสองข้างนั้นต้องหลับตา เชื่อกันว่าถ้าสามารถเดินท่องชื่อคนรักในใจไปได้ไกลถึง 20 เมตรแล้ว ความรักและชีวิตคู่ก็จะไปได้ตลอดรอดฝั่ง
จากวิหารใหญ่วัดคิโยมิซุ มีบันไดเดินลงสู่น้ำตก โอะโตวะโนะทาคิ เชื่อกันว่าถ้าใครมีโอกาสได้จิบน้ำตกที่นี่ก็จะมีสุขภาพดี
     หากเดินขึ้นไปอีกไม่ไกลนักสู่อีกด้านหนึ่งของหุบเขาคุณจะเห็นเจดีย์เล็กองค์หนึ่งตั้งอยุ่ท่ามกลางทัศนียภาพงามตาของไหล่เขาทาง สู่พระราชวังอิมพีเรียล ถ้าบ่ายหน้าไปทางตะวันตกและย้อนกลับมาข้ามแม่น้ำคาโมงาวะ ก็จะเห็นพระราชวังอิมพีเรียลแห่งเกียวโต สมเด็จพระจักรพรรดิเสด็จแปรพระราช ฐานที่นี่ พระราชวังที่เกียวโตเป็นวังหลวงแห่งที่สองที่มีการสร้างขึ้น หมู่อาคารปัจจุบันเพิ่งสร้างในกลางศตวรรษที่ 18 ซึ่งไม่สบอารมณ์ชาวเกียวโตผู้เคร่งครัดนัก ทว่าพระที่นั่งบรมราชาภิเษก ซึ่งยืนตระหง่านปกคลุมด้วยยอดหลังคาเนื้อไม้สนแผ่กว้างเบื้องหน้าลานหินอัน เงียบกริบนั้น สำแดงถึงพระราชบารมีแห่งองค์จักรพรรดิ พระที่นั่งสร้างตามแบบชินเด็น โดยมีระเบียงทางเดินคลุมหลังคาเชื่อมอาคารทุกหลัง
     ส่วนบริเวณพระราชฐานรอบพระที่นั่ง ปัจจุบันกลายเป็น พระราชอุทยานเกียวโตเงียวเอ็น และเปิดให้ประชาชนเข้าชมทางใต้เป็นที่ตั้ง ปราสาทนิโจโจ ปราสาทนิโจโจใช้เป็นที่ทำการของรัฐบาล ซึ่งต่อมาจักรพรรดิทรงยกเลิกระบบโชกุนที่นี่ ปราสาทนิโจโจมีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า กำแพงหินอันโอ่อ่า และห้องโถงสำหรับเจ้าเมืองเข้าเฝ้าโชกุนตกแต่งด้วยทองหรูหราสะท้อนถึงอำนาจ โชกุนสมัยเอโดะ ภายในบริเวณปราสาทมีวังนิโนมารุ กระดานระเบียงเชื่อมหมู่อาคารของวังเป็นพื้น นกไนติงเกล เวลาเดินเหยียบพื้นจะมีเสียงดังเหมือนเสียงนกนี้ บริเวณตรงด้านใต้ของปราสาทคือนิโจจินยะ เดิมเป็นคฤหาสน์ของคหบดีผู้หนึ่ง ต่อมาใช้เป็นที่พักแรมสำหรับไดเมียวที่เดินทางจากหัวเมืองเพื่อมาเยี่ยม คารวะโชกุน ตัวคฤหาสน์โบราณหลังนี้เต็มไปด้วยกับดัก ทางลับ และห้องหับซ่อนอำพรางมิดชิด ที่นี่ใช้เป็นข้อมูลในการสร้างภาพยนตร์ซามูไร


 ที่มา  http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1444648

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น