วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2555

เทศกาลชมดอกไม้ (Hanami) หรือเทศกาลชมดอกซากุระ

เทศกาลชมดอกไม้ (Hanami) หรือเทศกาลชมดอกซากุระ

                   เทศกาลชมดอกไม้หรือที่เรียกว่า ฮานามิ (Hanami) ในภาษาญี่ปุ่นจริงๆ แล้วหมายถึง การชมดอกไม้ (ไม่ได้ระบุว่าเป็นดอกไม้ชนิดไหน) แต่ชาวญี่ปุ่นจะนิยมชมดอกซากุระกันมากกว่าดอกไม้ชนิดอื่นๆ ที่สำคัญดอกไม้ประจำชาติสายพันธุ์นี้ จะบานแค่ปีละครั้งเท่านั้น ครั้งละประมาณหนึ่งอาทิตย์ ผู้คนก็เลยถือโอกาสนี้ให้เป็นเทศกาลชมดอกซากุระ พร้อมกับเป็นการสังสรรค์ประจำปีกันไปเลยทีเดียว


ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการชมดอกซากุระ (Cherry Blossoms)
           เริ่มตั้งแต่เดือน มกราคม ไปจนถึง พฤษภาคม ของทุกปี ขึ้นอยู่กับพื้นที่ เริ่มจากทางตอนใต้ของประเทศ คือโอกินาว่า ไปสิ้นสุดที่ตอนเหนือ คือ ฮอคไกโด (Hokkaido) ไม่ได้บานพร้อมกันทั้งประเทศ  การบานของดอกซากุระจะขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศ ไม่ใช่ว่าที่ไหนหรือเวลาไหนก็บานได้ โดยปกติแล้วจะเป็นช่วงเวลาที่อากาศกำลังเย็นสบาย ไม่หนาวหรือร้อนจนเกินไป ซึ่งมักจะเป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างฤดูหนาวกับฤดูใบไม้ผลินั่นเอง และเนื่องจากประเทศญี่ปุ่นมีภูมิประเทศวางในลักษณะแนวตั้ง ดังนั้นฤดูกาลของญี่ปุ่น จากฤดูหนาวสู่ร้อน จึงเริ่มที่ส่วนล่างของประเทศก่อนจากหมู่เกาะโอกินาว่า ซึ่งจะบานตั้งแต่เดือนมกราคมเลย เรื่อยมาจนถึงโอซาก้า เกียวโต นาโงย่า โตเกียว และจะบานเป็นที่สุดท้าย ที่ฮอคไกโดในราวเดือนพฤษภาคม
          โดยดอกซากุระจะบานเพียงช่วงสั้นๆ นับจากวันที่เริ่มผลิดอก จนถึงวันที่ ดอกบานสะพรั่งที่สุด รวมแล้วประมาณ 7 วันเท่านั้น และหลังจากนั้นก็จะร่วงโรยไปทันที นอกจากนี้สภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย พายุ ฝนตกหนัก หรือลมกรรโชกแรง ก็ส่งผลให้ระยะเวลาที่ดอกซากุระบานลดลงได้ หรือหากทีไหนฤดูกาลแปรปรวน (เช่น ฤดูหนาวยาวนานกว่าปกติ) ซากุระก็จะเลื่อนเวลาบานออกไปเช่นกัน
แล้วไม่ใช่ว่าในท้องที่หรือเมืองเดียวกัน ซากุระจะบานสะพรั่งพร้อมกัน เพราะต้นไหนอยู่ในที่ร่มก็จะบานช้ากว่าต้นที่อยู่กลางแจ้งอีกด้วย
เทศกาลชมดอกไม้ (Hanami) หรือเทศกาลชมดอกซากุระ(Cherry Blossoms) หรือเทศกาลฮานามิ(Hanami)

สถานที่แนะนำในการชมดอกซากุระ

          เมืองโตเกียว (Tokyo) สวนสาธารณะอุเอะโนะ (Ueno Park) สวนสาธารณะชินจูกุเกียวเอน(Shinjuku Gyoen) ชิโดริกาฟุจิ(Chidorigafuchi)  สวนสาธารณะสุมิดะ(Sumida Park) สุสานโอยามะ(Aoyama Cemetery) สวนพฤกษศาสตร์โคอิชิคาวะ(Koishikawa Botanical Garden)  สวนสาธารณะอิโนคาชิระ(Inokashira Park)

          เมืองโยโกฮาม่า (Yokohama) สวนสาธารณะคามอนยาม่า(Kamonyama Park) สวนซังเคเอ็น (SAnkeien)

          เมืองคามาคุระ (Kamakura) ดันคาสุระ(Dankazura)

          เมืองนาโงย่า (Nagoya) ปราสาทนาโงย่า (Nagoya Castle)

          เมืองเกียวโต (Kyoto) สวนสาธารณะมารุยาม่า (Maruyama Park) เส้นทางนักปราชญ์(Philosopher’s Trail) ศาลเจ้าเฮอัน(Heian Shrine) อาราชิยาม่า(Arashiyama) ริมแม่น้ำกาโม่(Kamogawa) วัดไดโกจิ(Daigoji) ศาลเจ้าฮิราโน่(Hirano Shrine) คลองโอคาซากิ(Okazaki Canal)

          เมืองฮิเมจิ (Himeji) ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle)




          เมืองอาโอโมริ (Aomori) ปราสาทฮิโรซากิ(Hirosaki Castle)
แนวเส้นดอกซากุระบานที่ประเทศญี่ปุ่น

          ดอกซากุระที่ประเทศญี่ปุ่นจะเริ่มบานจากส่วนล่างของประเทศก่อน เริ่มจากหมู่เกาะโอกินาว่า ซึ่งจะบานตั้งแต่เดือนมกราคม บานเรื่อยมาจนถึงโอซาก้า เกียวโต นาโงย่า โตเกียว และจะบานที่ฮอคไกโดราวเดือนพฤษภาคม

          รูปต่อไปนี้เป็นข้อมูลเฉลี่ยที่ดอกซากุระบานในปี 2551(Spring 2008's Sakura Blossoming Dates And Japan Map (Excluding Hokkaido))

































ที่มา  http://www.his-bkk.com/th/article/article_4.php

บ้านพื้นเมืองแบบญี่ปุ่น

บ้านพื้นเมืองแบบญี่ปุ่น

        อาจกล่าวได้ว่าการทำนา และบ้านแบบยกใต้ถุนสูงนั้น เป็นวัฒนธรรมร่วมกันของญี่ปุ่น กับประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คนไทยไถนา คนญี่ปุ่นก็ไถนาปลูกข้าว และอาศัยอยู่ในบ้านยกใต้ถุนสูงที่สร้างด้วยไม้ หรือไม้ไผ่เช่นกัน ว่ากันว่าวัฒนธรรมเหล่านี้ข้ามน้ำข้ามทะเลผ่านจีน และเกาหลี เข้ามาถึงญี่ปุ่นด้วยเส้นทางสายไหม ทั้งยังมีวัฒนธรรมต่าง ๆ อีกมากมาย รวมทั้งเรื่องของศาสนาพุทธ และตัวอักษรจีน ซึ่งกลายมาเป็นต้นแบบของภาษาญี่ปุ่น ก็ล้วนถ่ายทอดมาจากจีนแผ่นดินใหญ่แต่ดูเหมือนทฤษฎีที่ค่อนข้างจะได้รับการยอมรับต่าสรุปว่า วัฒนธรรมการปลูกข้าว การต่อเรือ การเดินเรือ และการประมงของประเทศหมู่เกาะอย่างญี่ปุ่นซึ่งกินข้าวเป็นอาหารหลัก จะได้รับการถ่ายทอดจากทางทะเลใต้ หาใช่มาจากประเทศจีนไม่ และบ้านพื้นเมืองของญี่ปุ่นที่ใกล้เคียงกับบ้านในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากที่สุดก็คือ บ้านแบบที่เรียกว่า "ฌิระคะวะโง"
หมู่บ้านพื้นเมืองที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก



บ้านพื้นเมืองทรงพนมมือ ฌิระคะวะโง จัวหวัดกิฟุ
หลังคามุงด้วยหญ้าแห้งทำมุมราว 60 องศา เพื่อให้หิมะละลายไหลลงได้ง่าย ไม่ใช้ตะปู แต่ประกอบกันขึ้นโดยใช้เชือกกับเชือกควั่นที่ทำจากไม้มันซะคุ ชั้นล่างมีเตาไฟ ควันเขม่าจากเตาที่ลอยขึ้นไปจะทำหน้าที่ป้องกันเสาและขื่อต่าง ๆ ภายในบ้านจากความชื้น และแมลง เนื่องจากเป็นชีวิตที่เหมือนถูกกักขังอยู่ท่ามกลางหิมะ สถานที่ทำงานกับที่ใช้ชีวิตปกติจึงเป็นที่เดียวกัน เป็นผลึกแห่งภูมิปัญยาที่สร้างสรรค์ขึ้นจากวันเวลาอันยาวนานภายใต้การใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติที่โหดร้าย

 










   ที่มา  http://www.japantourcenter.com/index.php?option=com_content&view=article&id=188:highlight-360d-&catid=62:japanworld---2551&Itemid=75

ระบบการศึกษาในประเทศญี่ปุ่น

ระบบการศึกษาในประเทศญี่ปุ่น
ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีมาตรฐานทางด้านการศึกษาในระดับสูง โดยระบบการศึกษาของประเทศได้รับต้นแบบมาจากระบบการศึกษาของหลาย ๆประเทศ อาทิเช่น ประเทศอังกฤษ, ฝรั่งเศส และอเมริกา โดยจะแบ่งระดับการศึกษาเป็น

- ระดับอนุบาล (Kindergarten / Yochien)- อายุต่ำกว่า 6 ปี
ถึงแม้ว่าการศึกษาในระดับอนุบาลจะไม่ใช่การศึกษาภาคบังคับ แต่การศึกษาในระดับนี้กลับมีจำนวนผู้เข้าเรียนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั่นทำให้รัฐบาลตั้งเป้าหมายในการเพิ่มศักยภาพของการศึกษาระดับนี้มากขึ้น

- ระดับประถม (Elementary School / shogakkou)- 6-12 ปี
เริ่มตั้งแต่ผู้เรียนอายุ 6 ปี – 12 ปี ซึ่งการศึกษาในระดับนี้เป็นการศึกษาภาคบังคับสำหรับชาวญี่ปุ่น โดยโรงเรียนรัฐบาลจะมีการกำหนดยูนิฟอร์มให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และโรงเรียนส่วนใหญ่จะเป็นโรงเรียนของรัฐ มีเพียงแค่ร้อยละ 5 เท่านั้นที่เป็นโรงเรียนเอกชน

- ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (Lower Secondary School / chugakkou)- 12-15 ปี
เป็นระดับการศึกษาที่สำคัญต่อเด็กนักเรียน เพื่อเตรียมเข้าสู่การเรียนในระดับมัธยมปลาย เนื่องจากเด็กส่วนใหญ่จะใช้เวลาอยู่ในชมรม, กิจกรรม และการเรียนของโรงเรียนเป็นหลัก

- ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (Upper Secondary School / koutougakkou)- 15-18 ปี
การศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเป็นภาคการศึกษาไม่บังคับในประเทศญี่ปุ่น แต่อย่างไรก็ตามร้อยละ 94 ของผู้เรียนที่จบการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจะเข้าเรียนต่อ   โดยการเรียนในระดับนี้นั้นจะต้องมีการสอบเข้า เช่นเดียวกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในประเทศต่าง ๆ และนักเรียนที่จบจากโรงเรียนบางโรงเรียนจะสามารถเข้ามหาวิทยาลัยระดับประเทศได้โดยตรง อาทิเช่น University of Tokyo แต่สำหรับนักเรียนที่ไม่อยากเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ก็จะเข้าวิทยาลัยเทคนิคเช่นเดียวกับระบบการศึกษาในประเทศไทย

- ระดับมหาวิทยาลัย (University)- 18-20 หรือ 22 ปี
มหาวิทยาลัยในประเทศญี่ปุ่นจะกำหนดหลักสูตรและระยะเวลา ดังนี้ ระดับปริญญาตรีจะใช้เวลาทั้งสิ้น 4 ปี, ระดับปริญญาโท 2 ปี และระดับปริญญาเอก 3 ปี
การเรียนในระดับมหาวิทยาลัยจะเริ่มภาคการศึกษาในเดือนเมษายนของแต่ละปี โดยจะแบ่งภาคการศึกษาเป็น ภาคการศึกษาที่ 1 (เดือนเมษายน-เดือนกันยายน) และภาคการศึกษาที่ 2 (เดือนกันยายน-เดือนมีนาคม) โดยระยะเวลาการรับสมัครโดยทั่วไปจะสิ้นสุดในเดือนกันยายนหรือเดือนตุลาคมสำหรับการสมัครเรียนในเดือนเมษายนของปีถัดไป


ที่มา  http://www.educatepark.com/japan/education-system-in-japan.html

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ


               ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushii Inari Taisha Shirine)  หรือ ศาลเจ้าพ่อจิ้งจอกขาว  สร้างขึ้นเพื่อบูชาสุนัขจิ้งจอก ที่เชื่อกันว่าเป็นทูตของเทพเจ้าของการเก็บเกี่ยว   พื้นที่บริเวณนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยน้ำ ปลูกข้าวจึงได้ผลผลิตที่ดีมีคุณภาพ  จึงเป็นแหล่งของการผลิตเหล้าสาเกคุณภาพดีด้วยเช่นกัน


    ศาลเจ้าแห่งนี้มีสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของญี่ปุ่นปรากฎอยู่ แทบทุกคนต้องเคยเห็นภาพอุโมงค์ทางเดินที่เกิดจากการเรียงโทริอิสึแดงจ้ากว่าหนึ่งหมื่นซุ้ม ทอดสู่ฟูชิมิอินาริไทชะ หรือศาลเจ้าพ่อสุนัขจิ้งจอก ชาวนาเชื่อกันว่าเป็นผู้เดินสารของเทพแห่งการเก็บเกี่ยว ใช้เวลาเดินราว 2 ชั่วโมงหรือเป็นระยะทาง 4 กิโลเมตร ก็จะพบศาลแห่งนี้


        วัดเซ็นโซจิ หรืออาซากุสะคันนง (Asakusa Kannon) ที่เรียกกันว่าวัดอาซากุสะ เพราะที่ตั้งอยู่ในย่านอาซากุสะ  ซึ่งวัดนี้เป็นวัดเก่าและน่าจะเป็นวัดพุทธที่เก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคคันโตและมีนักท่องเที่ยวนิยมมา เยือนกันแน่นขนัดทุกปี และซื้อของที่ระลึกซึ่งมีร้านรวงตั้งเป็นแถวยาวให้เลือกจับจ่าย จึงทำให้วัดแห่งนี้รุ่งเรืองและคึกคักด้วยผู้คน วัดนี้มีตำนานของวัดแห่งนี้เล่าต่อๆกันมาว่าได้มีชายหาปลาสองคนพี่น้องมาทอดแหในแม่น้ำสุมิดะ  แต่กลับได้รูปปั้นพระโพธิสัตว์ หรือ เทวรูปคันนง (Kannon)แทน ด้วยความศรัทธาของ 2 พี่น้องและชาวบ้านของหมู่บ้านละแวกนั้น จึงได้อัญเชิญเทวรูปคันนงประดิษฐาน ณ วัดแห่งนี้  โดยหัวหน้าหมู่บ้านจึงสร้างวัดขึ้นใน ค.ศ. 628 เพื่อประดิษฐานรูปปั้นนั้น และตำนานยังมีต่ออีกว่าในช่วงเวลาใกล้เคียงกันกับที่พบรูปปั้นได้ปรากฎมังกร ทองตัวหนึ่งเลื้อยลงมาจากสวรรค์ บรรดาโชกุนและซามูไรต่างก็นิยมมาสักการะที่วัดนี้ ทางทิศตะวันออกของวัดคือ แม่น้ำซูมิดะงาวะ(Sumida-gawa) ไหลลงอ่าวโตเกียวและใกล้ๆกันจะมีสวนสาธารณะซูมิดะโคเอ็น(Sumida Koen) ซึ่งเปิดโล่งสู่แม่น้ำด้วยบรรยากาศสวยงามน่าเดินเล่น โดยเฉพาะช่วงดอกซากุระบานสะพรั่ง ริมแม่น้ำแห่งนี้ยิ่งสวยงามเหนือคำบรรยาย
       วัดอาซากุสะ คือศูนย์กลางแห่งสรรพสิ่งอันสุนทรีย์ในโตเกียว บ่อเกิดวัฒนธรรมการละคร, วรรณคดี, การทำอาหาร และความสุขทางเพศ วัฒนธรรมและสังคมในย่านนี้เบ่งบานด้วยน้ำมือของพวกที่ย้ายถิ่นฐาน แรกสุดเป็นหญิงคณิกาในถิ่นโยชิวาระ ความเจริญของอาซากุสะซึ่งตั้งอยู่นอกประตูเมืองเอโดะด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้ตลอดลำน้ำซูมิดะงาวะกลายเป็นท่าเรือค้าขายเปี่ยมชีวิตชีวา ฉางข้าวสำคัญของโชกุนเองก็ตั้งอยู่ที่นี่ สิ่งที่อยู่คู่กันมากับย่านอาซากุสะคือวัดเซ็นโซจิ หรืออาซากุสะคันนง ซึ่งน่าจะเป็นวัดพุทธเก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคคันโตแลมีผู้คนทั่วสารทิศหลั่ง ไหลมากราบไหว้ พร้อมกับซื้อของในละแวกนี้ จนสร้างความรุ่งเรืองให้กับย่านอาซากุสะ



ภูเขาไฟฟูจิ     ภูเขาไฟฟูจิ     รถเคเบิลขึ้นภูเขาไฟฟูจิ

       ภูเขาไฟฟูจิ ได้รับการยกย่องว่าเป็นภูเขาที่สวยขนาดไม่มีภูเขาลูกใดมาเทียบเคียงได้ และทะเลสาบอาชิ ในฮาโกเนะก็เป็นทะเลสาบที่คนนิยมมาบันทึกภาพเก็บไว้บ่อยครั้งที่สุด พื้นที่ส่วนใหญ่ของฟูจิและฮาโกเนะถูกกำหนดให้เป็น อุทยานแห่งชาติ ภูเขาไฟฟูจิ โผล่พ้นผิวมหาสมุทรเป็นรูปกรวยคว่ำได้ส่วนงามสง่า ภูเขาไฟฟูจิเป็นดินแดนต้องห้ามของผู้หญิงมาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว ตราบจนกระทั่งถึงปี 1867 ความเชื่อดังกล่าวเริ่มถูกลบล้าง เมื่อหญิงชาวอังกฤษคนหนึ่งอาจหาญปีนขึ้นภูเขาลูกนี้ และทุกวันนี้นักปีนเขาราวครึ่งหนึ่งจาก 400,000 คนที่มาปีนภูเขาฟูจิในแต่ละปีเป็นผู้หญิง



       ปราสาทโอซาก้า (Osakajo) : เมืองโอซาก้า

ปราสาทโอซาก้าเป็นสัญญลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองโอซา ก้า สร้างขึ้นเป็นครั้งแรกบนบริเวณที่เคยเป็นวัด Osaka Hongan-ji เมื่อปีค.ศ.1583 โดย โชกุนโทยะโตมิ ฮิเดโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) (ค.ศ.1537-1598) นักรบระดับไดเมียวผู้พยายามรวบรวม ประเทศเป็นครั้งแรก หอคอยประสาทหรือส่วนที่เรียกว่า Tenshukaku แล้วเสร็จลงสองปีต่อมา แต่หลังจากสงคราม Osaka Natsu No-jin ในปีค.ศ.1615 ตระกูล Toyotomi ถูกฆ่าล้างโคตร Tenshukaku ก็ถูกทำลายลงย่อยยับ ต่อมาได้รับการบูรณะใหม่ในสมัย Tokugawa แต่น่าเสียดายที่ในปีค.ศ.1665 ได้ถูกฟ้าฝ่าเสียหายย่อยยับอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ปราสาทโอซาก้าไม่มี Tenshukaku มานานปี จนกระทั่งในปี 1931 นายกเทศมนตรีเมืองโอซาก้า นาย Seki ได้ขอรับเงินบริจาคจากชาวเมืองจำนวนหนึ่งล้านห้าแสนเยน (เท่ากับราว 75,000 ล้านเยนในปัจจุบันนี้) มาบูรณะปราสาทใหม่
     ปราสาทโอซาก้าปัจจุบันสูง 55 เมตร มี 5 ส่วน 8 ชั้น เครื่องประดับหลังคาและภาพเสือบนกำแพงตัวปราสาทและหลายๆส่วนลงทองสีอร่ามสวยงาม (ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกสำคัญของประเทศ) บนหอคอยชั้น 8 ของ Tenshukaku ท่านสามารถมองเห็นทิวทัศน์โดยรวมของ เมืองโอซาก้าได้อย่างชัดเจน ในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวจากทั้งในและนอกประเทศมาเยือนปีละราว 1-3 ล้านคน
     นอกจากตัว Tenshukaku อันงดงามแล้ว ภายในตัวปราสาท ยังมีนิทรรศการแสดงหลักฐาน ภาพเขียน เครื่องแต่งกายโบราณ ฯลฯที่เกี่ยวข้องกับประสาทและตระกูล Toyotomi อยู่ ส่วนบริเวณรอบๆปราสาทก็เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่มีดอกไม้ใบไม้งามสะพรั่งในทุกๆฤดู เป็น ที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองด้วย






     ฟุราโน (Furano)
 แม้จะเป็นเมืองเล็กๆ ที่เกือบจะถูกกลืนพื้นที่เข้าไปในรวมอยู่กับเมืองใหญ่ที่อยู่รอบข้างแต่ฟูราโนก็้เป็นเมืองที่มี ีความสำคัญในฐานะเมืองแห่งการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลดอกไม้บาน ซึ่งทั่วทั้งเมืองจะเต็มไปด้วย ทุ่ง ดอกลาเวนเดอร์ (Lavender Fields) และดอกไม้นานาพันธุ์ รวมถึงผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และบำรุงผิวพรรณชั้นยอด ที่สกัดกลิ่นและสารอันเป็นประโยชน์จากดอกไม้สวยๆ ทั้งหลาย แต่สำหรับฤดูกาลอันหนาวเย็นอย่าง ฤดูหนาวเมืองฟูราโนยังมีกิจกรรมสนุกพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่จนสิ้นฤดูกาลเช่นกัน



       คิโยมิซุเดระ (Kiyomizu Temple) วัดซึ่งมีวิหารใหญ่ ตั้งอยู่บนไหล่เขา รองรับด้วยเสาไม้มหึมา โดยระเบียง อันเป็นเวทีร่ายรับนั้นยื่นชะโงกเงื้อมเหนือหุบเหว คนญี่ปุ่นจะเปรียบเทียบผู้ที่ต้องเสี่ยงครั้งสำคัญในชีวิตว่าเหมือนกับการ กระโดดลงมาจากระเบียงแห่งนี้
      วัดนี้มีอายุเก่าแก่กว่านครเกียวโต โดยสร้างในปี ค.ศ. 788 ถวายแด่พระโพธิสัตว์กวนอิม 11 พักตร์ประตูทางเข้าวัดด้านหน้ามีทวารบาล ประจำสองข้าง สูง 3.6 เมตร เบื้องขวาอ้าปากเบื้องซ้ายปิดปาก ซึ่งหมายถึงคำว่าโอมในภาษาสันสกฤต ด้านหลังวิหารใหญ่และเวทีร่ายรำนั้นคือศาลเจ้าจิชู ซึ่งเป็นศาลที่รู้จักกันดีที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น เนื่องจากเป็นที่ประทับของเทพแห่งความรักและความราบรื่นในชีวิตสมรส ที่ศาลเจ้าจิชูมีหินตาบอด ซึ่งห้ามเดินข้ามแต่ถ้าหากสาวๆ จะเดินผ่านก้อนหินที่ขนาบสองข้างนั้นต้องหลับตา เชื่อกันว่าถ้าสามารถเดินท่องชื่อคนรักในใจไปได้ไกลถึง 20 เมตรแล้ว ความรักและชีวิตคู่ก็จะไปได้ตลอดรอดฝั่ง
จากวิหารใหญ่วัดคิโยมิซุ มีบันไดเดินลงสู่น้ำตก โอะโตวะโนะทาคิ เชื่อกันว่าถ้าใครมีโอกาสได้จิบน้ำตกที่นี่ก็จะมีสุขภาพดี
     หากเดินขึ้นไปอีกไม่ไกลนักสู่อีกด้านหนึ่งของหุบเขาคุณจะเห็นเจดีย์เล็กองค์หนึ่งตั้งอยุ่ท่ามกลางทัศนียภาพงามตาของไหล่เขาทาง สู่พระราชวังอิมพีเรียล ถ้าบ่ายหน้าไปทางตะวันตกและย้อนกลับมาข้ามแม่น้ำคาโมงาวะ ก็จะเห็นพระราชวังอิมพีเรียลแห่งเกียวโต สมเด็จพระจักรพรรดิเสด็จแปรพระราช ฐานที่นี่ พระราชวังที่เกียวโตเป็นวังหลวงแห่งที่สองที่มีการสร้างขึ้น หมู่อาคารปัจจุบันเพิ่งสร้างในกลางศตวรรษที่ 18 ซึ่งไม่สบอารมณ์ชาวเกียวโตผู้เคร่งครัดนัก ทว่าพระที่นั่งบรมราชาภิเษก ซึ่งยืนตระหง่านปกคลุมด้วยยอดหลังคาเนื้อไม้สนแผ่กว้างเบื้องหน้าลานหินอัน เงียบกริบนั้น สำแดงถึงพระราชบารมีแห่งองค์จักรพรรดิ พระที่นั่งสร้างตามแบบชินเด็น โดยมีระเบียงทางเดินคลุมหลังคาเชื่อมอาคารทุกหลัง
     ส่วนบริเวณพระราชฐานรอบพระที่นั่ง ปัจจุบันกลายเป็น พระราชอุทยานเกียวโตเงียวเอ็น และเปิดให้ประชาชนเข้าชมทางใต้เป็นที่ตั้ง ปราสาทนิโจโจ ปราสาทนิโจโจใช้เป็นที่ทำการของรัฐบาล ซึ่งต่อมาจักรพรรดิทรงยกเลิกระบบโชกุนที่นี่ ปราสาทนิโจโจมีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า กำแพงหินอันโอ่อ่า และห้องโถงสำหรับเจ้าเมืองเข้าเฝ้าโชกุนตกแต่งด้วยทองหรูหราสะท้อนถึงอำนาจ โชกุนสมัยเอโดะ ภายในบริเวณปราสาทมีวังนิโนมารุ กระดานระเบียงเชื่อมหมู่อาคารของวังเป็นพื้น นกไนติงเกล เวลาเดินเหยียบพื้นจะมีเสียงดังเหมือนเสียงนกนี้ บริเวณตรงด้านใต้ของปราสาทคือนิโจจินยะ เดิมเป็นคฤหาสน์ของคหบดีผู้หนึ่ง ต่อมาใช้เป็นที่พักแรมสำหรับไดเมียวที่เดินทางจากหัวเมืองเพื่อมาเยี่ยม คารวะโชกุน ตัวคฤหาสน์โบราณหลังนี้เต็มไปด้วยกับดัก ทางลับ และห้องหับซ่อนอำพรางมิดชิด ที่นี่ใช้เป็นข้อมูลในการสร้างภาพยนตร์ซามูไร


 ที่มา  http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1444648

วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2555

วันเด็กผู้ชาย (โคโดโมะโนะฮิ)

วันเด็ก (โคโดโมะโนะฮิ)  
        วันเด็ก (ผู้ชาย) นี้ เป็นวันเทศกาลหนึ่งในห้าของเทศกาลประจำฤดูกาล 五節句( gosekku )เรียกว่า 端午の節句( tango no sekku )ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นธรรมเนียม
        ประเพณี 端午の節句( tango no sekku )นี้ คาดว่าเริ่มมีขึ้นในญี่ปุ่นเมื่อประมาณสมัยนารา ต่อกับสมัยเฮอัน ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มมีการนำ 五節句 หรือประเพณีเกี่ยวกับชีวิตทั้ง 5 เข้ามาใช้ ซึ่งมีธรรมเนียมปฏิบัติโดยทำการขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกไปจากชีวิต ในช่วงสมัยเอโดะ ถือว่าเป็นประเพณีของเด็กผู้ชาย และในปี 1948 ทางรัฐบาลญี่ปุ่นได้กำหนดให้วันที่ 5 พฤษภาคมของทุกปีเป็นวันเด็ก こどもの日(kodomo no hi)และให้ถือเป็น 祝日(shukujitsu)หรือวันหยุดเฉลิมฉลองอีกวันหนึ่งด้วยตั้งแต่นั้นมา สัญลักษณ์ประจำวันเด็กของญี่ปุ่นที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันนี้ คือ ธงรูปปลาคาร์ฟ 鯉幟 (koi nobori)koi แปลว่าปลาคาร์พ และการประดับตุ๊กตาชุดนักรบ 5 月人形  ซึ่งในตอนแรกเป็นการฉลองวันเด็กสำหรับเด็กผู้ชาย แต่ปัจจุบันนี้ถือเป็นการฉลองวันเด็กทั้งเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง ซึ่งนับได้ว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติวันเดียวในห้าวันของเทศกาลประจำฤดูกาลที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ
        ตามตำนานนั้นกล่าวว่า ในสมัยจีนโบราณนั้นในวัน 端午の節句( tango no sekku )นี้ จะต้องออกไปหาหญ้าสมุนไพรที่เรียกว่า 菖蒲 (shoubu) มาต้มอาบเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง และเป็นการขจัดสิ่งชั่วร้ายออกไป เมื่อประเพณีดังกล่าวถูกนำมาสู่สังคมญี่ปุ่น ได้เริ่มแพร่หลายจากสังคมในพระราชวัง มาสู่บรรดาตระกูลนักรบ ทำให้ประเพณีนี้เป็นประเพณีเพื่อการเฉลิมฉลองในสมัยเอโดะ ทางรัฐบาลโชกุนได้ให้ความสำคัญกับวันที่ 5 เดือน 5 บรรดาไดเมียวและทหารใกล้ชิดโชกุนได้เตรียมเครื่องแต่งกายที่ใช้ในงานพิธี 式服 (shikifuku)เพื่อเป็นของขวัญส่งไปยังปราสาทเอโดะ
        หลังจากนั้นในหมู่บรรดาบ้านตระกูลนักรบ เมื่อมีเด็กผู้ชายถือกำเนิดมาจะนำธงสัญลักษณ์ประจำตระกูล หรือสิ่งที่มีสัญลักษณ์รูปม้าไปติดไว้ที่หน้าประตูทางเข้าบ้าน และเมื่อธรรมเนียมดังกล่าวแพร่หลายไปยังประชาชนทั่วไป เนื่องจากประชาชนทั่วไปไม่ได้รับอนุญาตให้มีติดตั้งธงประจำตระกูลได้ จึงได้มีการปรับเปลี่ยนธงประจำตระกูลให้เป็นธงรูปปลาคาร์ฟ 鯉 (koi) เพื่อเป็นการอธิฐานเพื่อความเป็นสิริมงคลและความเจริญก้าวหน้า

         สาเหตุที่ใช้ธงรูปปลาคาร์พนั้นมีหลายเหตุผล แต่ที่น่าเชื่อถือมากที่สุด ก็คงเป็นเพราะคนญี่ปุ่น ถือว่าปลาคาร์พ เป็นปลาที่แข็งแรง  เป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแรง และยึดมั่นจุดหมายเดียวอย่างไม่ย่อท้อ เห็นได้จากที่มีความพยายามในการมีชีวิตอยู่ และสามารถว่ายน้ำทวนกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวได้ จึงอยากให้ลูกเป็นเหมือนดั่งปลาคาร์พ ทีนี้สังเกตุดูรูปปลา koi ดีๆ จะเห็นว่าแบบมาตรฐานของ koi nobori ด้านบนจะมีธงสีสายรุ้งไม่ได้เป็นรูปปลา แล้วก็จะต่อมาด้วยปลาkoinobori แต่จะจัดตุ๊กตาในวันเด็กผู้หญิงวันที่สามเดือนสามเท่านั้น

“มาโกอิ” ปลาคาร์ฟสีดำ หมายถึง พ่อ

“ฮิโกอิ” ปลาคาร์ฟสีแดงหมายถึง แม่ 

“ฟูคินากาชิ” หมายถึง กระแสน้ำ
ปลาตัวเล็กๆ หมายถึงลูกๆ ตามจำนวนลูกชาย ถ้าเป็นเมื่อก่อน ก็จะมีสีฟ้า สีเขียว แต่ก่อนบ้านที่มีแต่ลูกสาวก็จะไม่เล่น
           
        เราทราบถึงที่มาของการประดับธงปลาคาร์ฟไปแล้ว แต่เรายังขาดอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของวันเด็กของญี่ปุ่นไป นั่นคือการประดับตุ๊กตาชุดนักรบ ในตอนกลางของสมัยเอโดะนั้นบรรดาตระกูลนักรบได้เริ่มทำการประดับชุดเกราะ (ของจริง) 甲冑 (kacchuu)พร้อม ๆ กับติดธงประจำตระกูลที่หน้าทางเข้าบ้านเมื่อมีเด็กผู้ชายเกิดในบ้านอย่างที่กล่าวมาข้างต้นในเดือน 5 ส่วนประชาชนทั่วไปนั้น เนื่องจากไม่มีชุดเกราะ จึงมีการทำตุ๊กตานักรบ มาติดตั้งแทน บางครั้งเรียกกันง่าย ๆ ว่า ตุ๊กตาเดือน 5 หรือ 5月人形 ( 5 gatsu ningyou )ทั้งนี้เพราะความเชื่อที่ว่าชุดเกราะเป็นเครื่องป้องกันตัว ดังนั้นจึงประดับเพื่อให้ปกป้องคุ้มครองเด็กผู้ชายที่ถือกำเนิดมาในครอบครัว และเพื่อเป็นการขออำนวยพรให้เด็กที่เกิดมาได้เติบโต มีความเข้มแข็งสง่างามเยี่ยงบรรดานักรบ

         การประดับตุ๊กตาเดือน 5 ในปัจจุบันนี้ มีพัฒนาการหลากหลายรูปแบบเช่นเดียวกับตุ๊กตาฮินะ ของเทศกาลวันเด็กผู้หญิง ทั้งนี้เนื่องจากสภาพบ้านเรือนและครอบครัวในปัจจุบันของคนญี่ปุ่น ไม่เอื้ออำนวยต่อการประดับอะไรที่ใช้เนื้อที่มากนัก ทำให้ชุดตุ๊กตาเดือน 5 ได้รับการออกแบบให้มีความกระทัดรัดมากขึ้น จากรูปแบบดั้งเดิมซึ่งเป็นแบบเต็มชุด มีหลายชั้น เป็นแบบที่มีชั้นเดียว มีตู้กระจกจัดใส่ไว้โดยเฉพาะ รูปแบบส่วนใหญ่จะมีแบบ

หมวกนักรบ 兜飾り : かぶとかざり
ชุดเกราะ 鎧飾り : よろいかざり
ตุ๊กตาที่สวมใส่ชุดนักรบ 大将飾り : たいしょうかざり

ที่มา  http://www.oknation.net/blog/print.php?id=141861

เทศกาลฮินะ (Hina Matsuri)

เทศกาลฮินะ (Hina Matsuri)
         

      
       เทศกาลฮินะ(Hina Matsuri) หรือฮินะ มัตสุริ   เทศกาลนี้จะมีการจัดขึ้นในวันที่ 3 มีนาคม เป็นประจำทุกปี ซึ่งเป็นเทศกาลที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่สมัยเอโดะ Edo (1603-1867) เป็นเทศกาลเฉลิมฉลองของเด็กผู้หญิงในประเทศญี่ปุ่น โดยจะมีการตกแต่งตุ๊กตาญี่ปุ่น ที่สวยงามหลายตัวบนชั้นวาง ที่ตั้งอยู่ภายในบ้าน ตามความเชื่อที่ว่า จะทำให้ลูกสาวมีสุขภาพแข็งแรงและมีความสุข บางครั้งเรียกเทศกาลนี้ว่า เทศกาลเด็กผู้หญิง (Girl's Festival) ชาวญี่ปุ่นรับเทศกาลนี้มาจากธรรมเนียมจีน ตามความเชื่อว่า จะสามารถขจัดเคราะห์ร้าย ให้ไปกับตุ๊กตาได้ โดยปล่อยตุ๊กตาลอยไปกับแม่น้ำ ส่วนในประเทศญี่ปุ่น จะถือว่าเป็นเทศกาลของการอธิษฐานให้ลูกสาวมีความสุข ขจัดพลังชั่วร้ายออกไปจากชีวิต ประสบความสำเร็จ สุขภาพร่างกายแข็งแรง และสวย
       เด็กผู้หญิงที่เริ่มเข้าสู่เทศกาลฮินะครั้งแรก จะถูกเรียกว่า "ฮัตสุ เซกุ" (hatzu-zekku) โดยจะเป็นที่ชื่นชอบในหมู่ย่าหรือยาย เพราะพวกเธอจะซื้อตุ๊กตามาจัดโชว์ให้กับหลานสาว เริ่มนำตุ๊กตามาทำความสะอาดตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ จนกระทั่งเมื่อถึงวันที่ 3 มีนาคม ก็จะนำตุ๊กตาฮินะหรือ ฮินะนิงโย (hinaningyo) มาตั้งโชว์ ซึ่งเป็นตุ๊กตาที่ทำด้วยมือแบบดั้งเดิม วางไว้บนชั้นปกติจะมีทั้งหมด 7 ชั้น รอบๆ ชั้นจะประดับด้วยเครื่องบูชา เช่น ดอกพีช ข้าว เค้ก และเค้ก ที่ทำจากข้าวรูปร่างคล้ายเพชร ซึ่งเรียกว่าฮิชิโมกิ (hishimochi) รวมไปถึงสาเกขาว และคิราชิซูชิ (chirashi sushi) ตุ๊กตาที่ส่วนใหญ่จะต้องนำมาวางในชั้น คือ ตุ๊กตา เจ้าชายโอไดริ-ซามะ (Odairi-sama) และเจ้าหญิงโอฮินะ-ซามะ (Ohina-sama) ซึ่งตุ๊กตาทั้งสองตัวนี้ จะถูกวางไว้บนสุดของชั้นวาง รายล้อมไปด้วยข้าราชบริพาร และเครื่องตกแต่งชิ้นเล็กๆ โดยฉากหลังของชั้น จะประดับด้วยฉากที่เป็นสีทอง ให้เหมือนกับคฤหาสน์จำลอง
      ว่ากันว่าจำนวนชั้นจะมากหรือน้อยนั้น ก็เป็นการแสดงถึงฐานะของแต่ละบ้าน ซึ่งระดับจะสูงสุดที่ประมาณ 7 ขั้น จำนวนตุ๊กตาและการตกแต่งจัดเครื่องแต่งกายให้กับตุ๊กตาก็เป็นการแสดงออกถึง ฐานะเช่นกัน โดยทั่วไปในหนึ่งเซทจะมีประมาณ 15 ตัว เป็นตุ๊กตาชาววังที่เริ่มตั้งแต่ จักรพรรดิ จักรพรรดินี เจ้าชาย เจ้าหญิง ผู้รับใช้ ฯลฯ ลดหลั่นกันลงมาตามลำดับ
       ในยุคแรกๆ การตั้งตุ๊กตาเป็นประเพณีของผู้มีอันจะกิน หลักๆ จะเป็นตุ๊กตาเจ้าชายและเจ้าหญิง โดยในสมัยโบราณนั้นจะมีการจัดทำตุ๊กตาฮินะขึ้นจากวัสดุพวกไม้กระดาษที่ทำ ขึ้นมาอย่างง่ายๆ แล้วนำไปใส่กระด้งเล็กๆ ลอยแม่น้ำหรือทะเลเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ภาวนาให้ลูกสาวของบ้านนั้นเติบโตขึ้นโดยมีสุขภาพแข็งแรง หลังจากนั้นก็ได้รับความนิยมเรื่อยมาจนเกิดเป็นประเพณีของผู้คนทุกฐานะ และเริ่มตกแต่ง ประดับประดา จัดทำเครื่องแต่งกายให้สวยงามมากขึ้น ใช้วัสดุที่ดีอย่างผ้าไหมตัดเป็นเครื่องแต่งกายให้ตุ๊กตาในชุดกิโมโนเต็มยศ แบบโบราณ ซึ่งบางบ้านเป็นตุ๊กตาประจำตระกูลที่สืบทอดต่อๆ กันมาหลายร้อยปี มีการบูชาและถวายเครื่องเซ่นต่างๆ ทั้งขนมหวานที่ชื่อว่า " อาราเร่ " และขนมที่ทำมาจากข้าวเหนียว " คาชิวะ โมจิ " หรืออาจจะเป็นเค้กที่ทำจากข้าว พร้อมเครื่องดื่มพวกเหล้าขาวอย่าง " ชิโรสาเก " และบูชาด้วยดอกไม้อย่างดอกท้อ เทศกาลน่ารักๆ นี้ แต่ละครอบครัวที่มีลูกสาวจะเลี้ยงฉลองพิธีนี้อย่างตั้งใจ มีการดื่มฉลองแสดงความยินดีและอวยพรให้เติบโตอย่างมีความสุข และในปัจจุบันก็เปิดโอกาสให้มีการสังสรรค์กันในกลุ่มเพื่อนๆ เพิ่มขึ้น คืออาจจะชวนกันมาจัดปาร์ตี้กลางแจ้ง ทานอาหารร่วมกันที่บ้าน ซึ่งนับเป็นอีกเทศกาลหนึ่งที่สามารถสร้างรอยยิ้ม สร้างความสุข และสร้างความสัมพันธ์อันดีให้กับคนในครอบครัว

ที่มา  http://www.his-bkk.com/th/hina_matsuri.php

การโค้งแบบญี่ปุ่น


   การโค้งในภาษาญี่ปุ่นเรียก ว่า “Rei” (れい/เร) หรือ “Ojigi” (/おじぎ/โอจิกิ) ชาวญี่ปุ่นไม่นิยมไหว้แบบคนไทย หรือจับมือแบบฝรั่ง แต่จะนิยมโค้งแทนในเวลาที่พบหรือลา ประเพณีการโค้งของคนญี่ปุ่นนับว่าซับซ้อนพอควร เช่น การโค้งควรจะต่ำเพียงไรและโค้งได้นานเท่าไร หรือโค้งเป็นจำนวนกี่ครั้ง และโค้งในโอกาสอะไร เช่น ผู้อาวุโสก้มให้ลึก แต่ถ้าระดับเท่ากันโค้งพองาม นอกจากโค้งเวลาพบกันหรืออำลาจากกันแล้ว สามารถโค้งเมื่อต้องการขอบคุณ

การโค้งทักทาย (Eshaku/えしゃく/ อิชิคุ) คือ การทักทายกับผู้ที่สนิทแบบเป็นกันเอง วิธีการคือ ก้มตัวทำมุมประมาณ 15 องศา
การโค้งเคารพแบบธรรมดา (Futsuu Rei/ふつう/ ฟุสึยุ) คือ การทักทายกับผู้ที่เรารู้จัก หรือพนักงานขายกับลูกค้า วิธีการคือ ก้มตัวประมาณ 30 องศา
การโค้งเคารพแบบนอบน้อม (Saikei Rei/さつうれい/ ซาอิเครอิ เรอิ) คือ การให้ความเคารพกับผู้ใหญ่ ผู้ที่มีอายุมากกว่า หรือเจ้านายที่มีตำแหน่งสูง วิธีการคือ ก้มตัวประมาร 45 องศา กับแนวเส้นตรง 

 ที่มา http://www.educatepark.com/japan/japanese-etiquette.html

มารยาทบนโต๊ะอาหาร ของชาวญี่ปุ่น

มารยาทบนโต๊ะอาหาร ของชาวญี่ปุ่น (Japanese Table Manners Tips)

อาหารญี่ปุ่นมีหลายตำรับ ซึ่งแต่ละตำรับก็มีความน่าสนใจ บ่งบอกวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี และมีรสชาติที่อร่อยและเป็นเอกลักษณ์ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบในอาหารญี่ปุ่น จึงควรศึกษาถึงวัฒนธรรม ขนมธรรมเนียม และมารยาทบนโต๊ะอาหารของญี่ปุ่น เพราะคุณอาจจะมีโอกาสได้ร่วมรับประทานอาหารญี่ปุ่นกับชาวญี่ปุ่น หรือได้ไปรับประทานอาหารญี่ปุ่นกันถึงถิ่น "ดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย" ในสักวันนึงก็เป็นได้ ดังนั้นการเรียนรู้มารยาทบนโต๊ะอาหารของชาวญี่ปุ่นนั้น จึงเป็นสิ่งที่ควรศึกษาไว้เป็นความรู้ที่ติดตัวเป็นอย่างยิ่ง

# เรื่องของการใช้ "ตะเกียบ"

เนื่องจาก ชาวญี่ปุ่นนั้นแทบทุกบ้านจะใช้ตะเกียบในการรับประทานอาหาร จะมีธรรมเนียมในการใช้ตะเกียบที่เคร่งครัด ดังนั้นเรียนรู้มารยาทการรับประทานอาหารด้วยตะเกียบ เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง

มารยาทบนโต๊ะอาหาร ของชาวญี่ปุ่น (Japanese Table Manners Tips)การปฎิบัติเหล่านี้บนโต๊ะอาหารเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง:

   1. การปักตะเกียบลงบนข้าว ไม่ควรปักตะเกียบลงบนข้าว การกระทำแบบนั้นแสดงว่านั่นเป็นข้าวสำหรับผู้ตาย รวมทั้งไม่ควรเสียบอาหารด้วยตะเกียบด้วย
   2. การคีบอาหารส่งกันไปมาทางตะเกียบเป็นเรื่องต้องห้าม ไม่ควรใช้ตะเกียบของตนส่งอาหารให้กับผู้อื่น ทั้งนี้ก็เพราะกิริยาดังกล่าว เป็นวิธีการที่ใช้กันในพิธีศพของญี่ปุ่น ซึ่งมีการคีบกระดูกคนตายส่งและรับต่อๆ กันด้วยตะเกียบ
   3. การกำตะเกียบเป็นกิริยาที่ไม่ดี
   4. การจับตะเกียบ และถ้วยข้าวด้วยมือเดียวกัน ก็ถือว่าเป็นกิริยาที่ไม่ดี
   5. การเลื่อนชามไปข้างหน้าด้วยตะเกียบ การทำแบบนี้เป็นการแสดงความไม่สุภาพอย่างมาก ถ้าต้องการขยับเขยือนหรือเคลื่อนย้ายสิ่งของอะไรบนโต๊ะอาหาร ควรใช้มือจะสุภาพกว่าเยอะ
   6. การใช้ตะเกียบเลือกอาหารที่มีรสอร่อย หรือน่ากินในจานอาหาร การถือตะเกียบจดๆจ้องๆ ไตร่ตรองถึงสิ่งที่จะนับประทานอาหารบนโต๊ะอาหาร (หรือพูดง่ายๆว่าก็เล็งรับประทานอะไรไว้ ก็มุ่งหนีบสิ่งนั้นเลยดีกว่า เลือกไปเลือกมาดูเหมือนจะทิ้งของที่ไม่อร่อยให้คนอื่นรับประทาน ชาวญี่ปุ่นเป็นอะไรที่เก็บความรู้สึก ถึงอยากรับประทานก็ต้องมีมารยาทไว้ก่อน อย่าลืมว่าใครๆก็อยากรับประทานของอร่อยในจานเหมือนกัน อย่าเผลอเลือกรับประทานคนเดียวจนหมด

# เรื่องของ "การกิน"

   1. การกินอาหารญี่ปุ่น อย่าปรุงอะไรเพิ่มโดยไม่จำเป็น พยายามกินทุกอย่างที่เขาเสิร์ฟ และถ้าเป็นอาหารพวกเส้น ก็ควรสูดเส้นแรงๆ เสียงดังๆ นอกจากจะเป็นการเพิ่มอากาศระหว่างที่นำเส้นเข้าปาก ช่วยให้อาหารไม่ค่อยร้อนแล้ว ยังเป็นการแสดงว่าอาหารที่ผู้ปรุงตั้งใจทำมาให้กินนั้น อร่อยและคุ้มค่าต่อการกินให้หมด สำหรับบางท่านที่เห็นอาหารเป็นเซ็ตตอนเอามาเสิร์ฟแล้วรู้สึกว่าน้อย ลองกินทุกจานให้หมด แล้วจะรู้ว่าอิ่มพอดี ไม่น้อยเกินไปหรือมากเกินไปสำหรับนักกินทั่วๆไป
   2. การทานซุปร้อนๆ ที่หลายๆ คนอาจจะเจอ ปัญหาเปิดฝาถ้วยไม่ออกนั้น จริงๆแล้วเพียงแค่คุณบีบถ้วยด้านข้างเบาๆ พร้อมกับดึงฝาออกเพียงเท่านี้ก็สามารถเปิดฝาถ้วยได้โดยง่ายดาย จากนั้นคุณสามารถใช้ตะเกียบคีบอาหารชินเล็กๆ ในซุปทานแล้วค่อยซดน้ำตามก็ได้ ในการถือถ้วยซุปที่ถูกต้องนั้น คือการถือในระดับอก และยกดื่มน้ำซุปจากถ้วยโดยไม่ต้องใช้ช้อนตัก
   3. การสั่งอาหารตามหลักแล้ว ควรจะสั่ง "ซาชิมิ" มาทานก่อนสั่งซูชิ และในขณะที่การทานซูชินั้น ให้ทานซูชิหน้าปลาดิบที่เป็นเนื้อสีขาวก่อน แล้วค่อยไล่สีซูชิที่เข้มขึ้นเรื่อยๆ และตบท้ายด้วยซูชิไข่หวาน หลายๆ คนอาจจะไม่ทราบว่าจริงๆ แล้วการทานซูชินั้นคุณสามารถใช้มือหยิบทานได้ โดยคุณต้องหยิบซูชิทางด้านยาว จากนั้นใช้หงายมือเพื่อเอาด้านข้าวปั้นขึ้นข้างบน ขณะที่เอาใส่ปากให้ส่วนที่เป็นหน้า (ซูชิ) แตะกับลิ้น เช่นเดียวกับ ถ้าคุณต้องการเอาซูชิจิ้มกับซอสก่อนรับประทาน คุณต้องหงายซูชิเพื่อเอาด้านข้าวปั้นขึ้นข้างบน แล้วใช้ส่วนที่เป็นหน้าซูชิ แตะกับซอส โดยไม่ให้น้ำซอสโดนข้าว นั่นถึงจะเป็นวิธีการที่ถูกต้อง แต่ทางที่ดีรับประทานแบบไม่จิ้มซอสอะไรเลยจะเป็นมารยาทที่ดีกว่า

# เรื่องของ "การดื่ม"

ไม่สุภาพเท่าไรถ้าจะรินเครื่องดื่มให้ตนเองก่อน ควรรินให้ผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก่อน แล้วจึงรินให้กับตัวเอง (อาจจะมีคนอื่นเสนอขอรินให้ด้วยนะ) ในปริมาณที่พอจะบอกผู้ร่วมวงได้ว่า “ฉันก็ดื่มเป็นนะ” ส่วนถ้าจะไม่ดื่มแล้วหรือพอแล้วนั่นเอง ก็เพียงแค่เอามือปิดปากแก้วไว้เท่านั้น


ที่มา http://japanesefoodsguide.blogspot.com/2011/07/japanese-table-manners-tips.html

ตำนานผีญี่ปุ่น

ตำนานผีญี่ปุ่น
   ในปี ค.ศ. 1780 นักปราชญ์และศิลปินนาม โทะริยะมะ เซคิเอ็น ได้ทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ ภูตผีปีศาจ ของญี่ปุ่น ทั้งที่สิงสถิตอยู่ตามที่ต่างๆ ตลอดจนที่อยู่บนสวรรค์ และ ในนรก เขาพยายามแบ่งแยก ผี ออกเป็นชนิดต่างๆ ตามลักษณะที่มันปรากฏร่างให้เห็น ซึ่งนับเป็นเรื่องยุ่งยากเอาการทีเดียว เนื่องจากผี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โอะบะเกะ สามารถปรากฏให้เห็นได้สารพัดรูปแบบ นอกจากโอะบะเกะแล้ว โทะริยะมะ ยังได้รวมเอาบรรดา ผี ปีศาจ ปอบ เปรต และ อสุรกาย มาไว้เป็นพวกเดียวกัน เรียกว่า โยวไค นอกจากนั้นแล้วก็เป็นผีประเภท วิญญาณของคนตาย ซึ่งมีชื่อเรียกว่า ยูเร

 ผีญี่ปุ่นแต่โบราณมานั้นมีอยู่ 3 ประเภท คือ

(1) โอบะเกะ Obage [ お化け] = โอบะเกะนั้นแปลตรงๆ ตามความหมายของมันก็คือผี ปกติจะอยู่ในรูปของกลุ่มไอหมอกประหลาดสีดำที่ล่องลองไปตามท้องถนนยามค่ำคืน ซึ่งเมื่อโอบะเกะนั้นเข้าสิงสิ่งใดไม่ว่าคน สัตว์ สิ่งของ สิ่งเหล่านั้นก็จะกลายร่างเป็นผีไปทันใด เช่น ถ้ามันเข้าสิงร่มเก่าๆ ที่มีอายุกว่า 100 ปีแล้ว ร่มนั้นก็จะถูกกลุ่มไอปิศาจอาบมันจนกลายเป็นดวงตาใหญ่โตแสยะยิ้ม หรือที่คนโบราณเรียกว่าผีร่ม ส่วนเวลาปรากฏตัวของโอบะเกะนั้นส่วนมากจะเป็นตอนกลางคืน มันจะล่องลอยไปในท้องถนนยามค่ำคืนและพยายามหาร่างสิงสู่ของมัน วันดีคืนดีชาวบ้านมักจะพบเกวียนเก่าที่ไม่มีคนขับวิ่งไปตามท้องถนนนั้นก็คือที่สิ่งสู่ของวิญญาณร้ายเหล่านี่...

(2) โยวไค youkai [ 妖怪 ] = โยวไค นี้เป็นศัพท์ที่ใช้เรียกเหล่าบรรดาภูติ ผี ปิศาจ ปอบ เปรต และอสุรกายที่มีมาแต่ช้านาน ซึ่งแหล่งที่อยู่เดิมของเหล่าผีพวกนี้คือขุมนรกบ้าง สวรรค์บ้าง บนโลกมนุษย์บ้าง เวลาปรากฏตัวของเหล่าโยวไกนั้นจะเริ่มตั้งแต่ยามโพล้เพล้เป็นต้นไป เช่น ช่วงที่ใกล้ค่ำแล้วท้องฟ้าจะเป็นสีแดง ชาวบ้านมักจะพูดเสมอว่าเวลานี้เป็นเวลาผีออกหากิน และมีธรรมเนียมจะไม่เดินทางไกลในช่วงนี้ เหล่าโยวไคนี้มีมากมายหลายชนิด มีบันทึกเรื่องราวพิศดารนี้อยู่ตามบันทึกญี่ปุ่น เหล่าโยวไคนั้นมีมากหลาย มีทั้งแบบน่าตลกขบขันไปจนถึงน่ากลัวจนขนหัวลุก

 (3) ยูเร yurea [ 幽霊 ] = ยูเร นี้เป็นวิญญาณคนที่ตายไปโดยไม่ทันได้ดับจิต หรือที่เรียกกันว่า ผีตายโหง ด้วยจิตคิดพยาบาทดั่งไฟสุมของดวงวิญญาณเหล่านี้ ทำให้ไม่สามารถไปผุดไปเกิดได้ มีตำนานวิญญาณของหญิงสาวที่โผล่ขึ้นมาจากบ่อน้ำเก่าเล่าขานมากมาย สร้างความหวาดผวาไปทั่ว ยูเรนั้นมีอยู่ทั่วทุกแห่งไม่ว่าจะตามสนามรบเก่า ซึ่งยูเราเหล่านั้นจะเป็นชายชาตินักรบที่ตายอย่างสมศักดิ์ศรี วันดีคืนดีชาวบ้านที่เดินทางผ่านสนามรบเก่าก็จะพบเห็นเหล่ากองทัพผีซามูไรพุ่งรบกันอย่างไม่รู้แพ้รู้ชนะ ตามท้องถนนทั่วไปจะเป็น ยูเร ที่ตายในอุบัติเหตุทำนองเดียวกับผีตายโหง และเหล่าสัมภเวสีต่างที่ล่องลอยไปตามที่ต่างๆ รอวันผุดเกิด เวลาเหมาะสมที่ ยูเร จะปรากฏตัวนั้นคือหลังเที่ยงคืนแต่ ยูเร บางตนก็สามารถปรากฏตัวลางๆได้ในเวลากลางวัน และยูเรส่วนใหญ่นั้นจะเป็นเพศหญิง เพราะผู้หญิงนั้นมีความอาฆาตพยาบาทที่น่ากลัวจริงๆ...
    ตัวอย่างผีในตำนานของญี่ปุ่น
 การาสุเทนกุ หรือ นกสามขา (「天狗」, Tengu, 天狗) ความเชื่อเรื่องนกสามขาที่มีอยู่ทั้งในแถบญี่ปุ่นและเกาหลี โดยทางญี่ปุ่นเชื่อว่าการาสุเทนกุ มีภาพลักษณ์ของปีศาจร้าย และมักจะสร้างพายุเข้าโจมตีผู้คนเสมอๆ ซึ่งประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ ถูกพายุถล่มบ่อยครั้ง การาสุเทนกุเป็นข้ารับใช้ของไดเทนกุ ซึ่งมักปรากฎภาพของไดเทนกุ ที่ล้อมรอบไปด้วยการาสุเทนกุ บางความเชื่อนั้นเชื่อว่าการาสุเทนกุไม่ได้เป็นผีร้าย ทั้งยังเป็นปีศาจที่รักสงบและสุภาพ แต่การกระทำร้ายๆนั้น เป็นเพราะการาสุเทนกุต้องทำตามคำสั่ง ของไดเทนกุ
   ตามความเชื่อแล้ว การาสุเทนกุมีแต่เพศผู้ จะอาศัยอยู่ในป่าลึก เป็นผีที่คาดเดาไม่ได้ ตามเรื่องเล่ามักจะพฤติกรรมที่คาดเดาได้ยาก บางครั้งมันจะลักพาตัวเด็กๆ ไปทิ้งไว้ในป่า แล้วเฝ้ามองเด็กที่หลงทางอยู่ในป่า แต่บางเรื่องเล่าผู้คนก็บอกว่าเมื่อใดที่หลงป่า ให้ขอร้องให้การาสุเทนกุช่วยแล้วมันจะนำทางออกจากป่าให้ได้ การาสุเทนกุยังชอบปล่อยข่าวลือ สร้างความวุ่นวายให้มนุษย์ แต่บางคนกลับเชื่อว่าการาสุเทนกุชอบสงคราม อีกทั้งมันยังเชื่อว่ามนุษย์ไม่ควรมีอำนาจมากเกินไป เหตุการณ์การประท้วงหรือสงครามในสมัยก่อน จึงมักโทษว่าเป็นฝีมือของการาสุเทนกุที่ปล่อยข่าวลือ
  การาสุเทนกุสามารถเรียกพายุได้ เชี่ยวชาญมนต์มายา และวิชาแปลงกาย มีพละกำลังมากทั้งยังเจนจัดการรบ เป็นสมุนที่พึ่งพาได้ของไดเทนกุ ซึ่งเป็นเทนกุที่มีลำดับชั้นสูงกว่า ลักษณะของการาสุเทนกุคล้ายกับมนุษย์นก ซึ่งมักไปไหนมาไหนด้วยการบิน แต่ว่าไดเทนกุจะใช้วิธีเคลื่อนย้ายในพริบตา มากกว่าการบินถ้าเป็นระยะทางสั้นๆ
 การาสุเทนกุชื่นชมผู้กล้าที่กล้าต่อกรกับผู้นำทรราชย์ การาสุเทนกุจะช่วยเหลือเหล่าผู้กล้า ให้สามารถสู้เพื่อความยุติธรรมได้ จึงมีคนเชื่อว่าการที่ชื่อเสียงของการาสุเทนกุเสียหาย เป็นเพราะเหล่าผู้นำทรราชย์ที่สูญเสียอำนาจใส่ความการาสุเทนกุ ดังนั้นแม้ว่าในยุคปัจจุบันมนุษย์จึงมีความยำเกรงการาสุเทนกุ บางครั้งถึงกับเรียกว่าเป็น เทพพยาบาท เมื่อใดที่มนุษย์ล่มหลงในอำนาจ หรือผิดคำสาบาน การาสุเทนกุจะออกมาจากเขาแล้วทำลายผู้นั้นให้สิ้น
 มีเรื่องเล่าหนึ่งเล่าว่า มีหญิงสาวคนหนึ่งที่สายตาย่ำแย่มาก เล็งอะไรไม่เคยแม่นยำเลย แต่ถูกการาสุเทนกุเข้าสิง และในฝันการาสุเทนกุได้สอนวิชาดาบให้กับเด็กผู้หญิงคนนั้น จนเธอกลายเป็นนักดาบที่ร้ายกาจและมีชื่อเสียง บางข่าวลือก็เล่าว่า เหล่าชิโนบิหรือนินจา คือเหล่าผู้ที่ได้รับการฝึกฝนวิชาจากการาสุเทนกุ
 เรื่องเล่าที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับการาสุเทนกุ คือ เรื่องราวของ มินาโมโตะ โนะ โยชิซึเนะ (Minamoto no Yoshitsune) ซึ่งเดิมชื่อว่าอุชิวากะมารุ เป็นลูกชายของ โยริโทโมะซึ่งเป็นเจ้าเมืองที่ถูกลอบสังหาร แต่อุชิวากะมารุได้รับการไว้ชีวิต อุชิวากะมารุจึงออกบวช และเร้นกายอยู่ในวัดแถบหุบเขาคุรามะ มีอยู่วันหนึ่ง อุชิวากะมารุได้ไปพบกับการาสุเทนกุเข้า การาสุเทนกุรู้สึกถูกชะตากับอุชิวากะมารุ จึงสอนเพลงดาบให้ จนอุชิวากะมารุเป็นนักดาบที่เก่งกาจ และสามารถรวบรวมกองกำลัง ชิงอำนาจกลับคืนมาได้เป็นผลสำเร็จ และได้เป็น มินาโมโตะ โน โยชิซึเนะ
 ในภาพยนต์เรื่อง จูมง นกสามขาเป็นสัญลักษณ์ของจูมง และเนื่องจากว่านกสามขากับการาสุเทนกุมีลักษณะที่คล้ายกัน ซึ่งภาพลักษณ์ของการาสุเทนกุไม่ค่อยดีนัก ทำให้ธิดาเทพยองมีอึนที่มองเห็นการมาของนกสามขาทำนายผิดพลาดไป คิดว่าจูมงจะเป็นกาลกีณีกับแคว้นพูยอ ต้องหาทางกำจัดเสีย ซึ่งธิดาเทพลืมไปว่าการาสุเทนกุยังมีนิสัยชอบช่วยเหลือผู้กล้า ที่ลุกขึ้นต่อสู้กับผู้นำทรราชย์ ภายหลังธิดาเทพยองมีอึน จึงนับถือการาสุเทนกุเป็นเทพคุ้มครอง
 นกสามขาที่มีลักษณะคล้ายกับการาสุเทนกุก็คืออีกาสามขา ยาตะการาสุ (八咫烏) ซึ่งเป็นนกประจำตัวของเทพีสุริยาอามาเทระสุและเป็นสัญลักษณ์ของสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่นในปัจจุบัน

กัปปะ 河童 • かっぱ มักจะแกล้งคนเป็นประจำ ชอบแข่งซูโม่ และชอบแตงกวามาก

กัปปะ (「河童」, Kappa, 河童) ผีญี่ปุ่นชนิดหนึ่ง เป็นผีจำพวกพรายน้ำ มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกบ ตัวสีเขียว แต่มีกระดองเต่าอยู่ข้างหลัง เท้ามีพังผืดทั้งเท้าหน้าและเท้าหลัง จมูกแหลม มีลักษณะศีรษะที่แบนและกลางกระหม่อมไม่มีผม เป็นปีศาจที่อาศัยอยู่ตามหนองน้ำหรือแหล่งน้ำต่าง ๆ เชื่อว่า อาหารที่กัปปะชอบคือ แตงกวา ชอบเล่นซูโม่เพราะมีพละกำลังเยอะ ลักษณะพิเศษคือ มีจานอยู่บนหัวไว้เก็บน้ำ ซึ่งน้ำจะทำให้กัปปะมีพลังพิเศษ และมีพละกำลังมากขึ้น ในทางกลับกันถ้าสูญเสียน้ำไป กัปปะจะอ่อนแรงลงอย่างมาก ถึงขนาดที่ไม่สามารถขยับตัวได้ ถึงแม้ว่ากัปปะจะมีรูปร่างพอๆกับเด็ก แต่ก็เป็นผีที่เอาชนะได้ยาก มันมีปากแหลมเหมือนนก ผิวเป็นเมือกลื่น อาจมีสีเขียว น้ำเงิน หรือแดง มือเป็นผังผืด ที่หลังจะมีกระดองเต่า มีขนดกทั่วตัว แขนขาของกัปปะยาว และยืดหยุ่นได้ เมื่อกัปปะขึ้นจากน้ำจะหมดฤทธิ์ จึงใส่น้ำไว้บนศีรษะที่แบนราบของตัวเอง ดังนั้นเมื่อพบเจอกับกัปปะให้ก้มคาราวะ เมื่อกัปปะคาราวะตอบ น้ำบนศีรษะจะหก ทำให้หมดฤทธิ์ และ อีกวิธี ก็คือ ให้เขียนชื่อตัวเอง ลงไปในแตงกวา แล้วขว้างลงไปในแม่น้ำ เมื่อ กัปปะ มาเจอแตงกวานี้เข้าก็จะกินอย่างเอร็ดอร่อย และ ก็จดจำชื่อ ที่อยู่บนแตงกวาด้วย คราวหน้าบังเอิญต้องเจอะเจอเจ้าของชื่อ กัปปะ ก็จะไม่ทำอันตรายอะไร ปัจจุบันมีซูชิชนิดหนึ่ง ไส้แตงกวา เรียกว่า "กัปปะ มากิ"
  กัปปะมีความมั่นใจในพละกำลังตัวเองมาก มักจะท้ามนุษย์ในการแข่งซูโม่ จึงมีเรื่องเล่าว่า คนที่ฉลาดจะทำความเคารพกัปปะก่อนเริ่มการประลอง ด้วยการก้มศรีษะ แล้วกัปปะจะก้มตาม ทำให้น้ำกระฉอกออกจากจาน กัปปะจะอ่อนแรงลง และพ่ายแพ้ในที่สุด ซึ่งจะทำให้กัปปะเสียใจอย่างมาก นิสัยของกัปปะ คือ ชอบกินแตงกวา ในฤดูเก็บเกี่ยวแตงกวาของเกษตรกร ที่ญี่ปุ่นจึงมีธรรมเนียมการลอยแตงกวาลงแม่น้ำ เพื่อเซ่นวารีเทพ และทำทานให้ผีอดโซ เป็นที่มาของเรื่องเล่าที่ว่า หากชายใดแก้ผ้าลงเล่นน้ำในแม่น้ำ อาจถูกกัปปะดึงของลับ เพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแตงกวาที่เอามาเซ่น กัปปะมีนิสัยที่ขี้เล่นและอยากรู้อยากเห็น ซึ่งบางครั้งก็เป็นอันตรายกับมนุษย์
  กัปปะมีความอันตรายเช่นเดียวกับผีร้ายอื่นๆ มีเรื่องเล่าอยู่เสมอๆ ว่ากัปปะเคยหลอกล่อให้คนลงไปในน้ำ มักจะลากม้า หรือเด็กๆลงแม่น้ำจนจมน้ำตาย หากถูกชาวประมงจับได้ มันจะปล่อยตดออกมาป้องกันตัว ซึ่งเหม็นบรรลัย ทั้งยังมีเรื่องเล่าที่ว่า กัปปะจะคอยแอบอยู่แถวๆ ส้วม เมื่อคนเผลอมันจะแกล้งโดยใช้นิ้วสวนทวาร ซึ่งพฤติกรรมพิเรนนี้ อาจทำให้มันถูกคนจับตัวได้ แต่กัปปะมีความสุภาพอ่อนน้อมและมีสัมมาคาราวะมาก กัปปะเป็นพรายที่มีความคิดความรู้สึกผิด มันจะขอโทษโดยการจับปลามาให้ที่หน้าประตูบ้านทุกวัน หรือไม่ก็มอบยาสมุนไพรชั้นเลิศที่มันปรุงขึ้นมาให้ ซึ่งกัปปะมีความเชี่ยวชาญด้านการปรุงยาลี้ลับอย่างมาก
  ความเชื่อเรื่อง กัปปะ มีกระจายไปทั่วประเทศญี่ปุ่น มีตำนานเล่าว่ามีช่างไม้ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ชื่อ ฮิดาริจินโกโร่ อ้างว่าตุ๊กตาไม้ที่เขาทำโยนลงน้ำ กลายเป็นกัปปะไป อีกตำนานก็เล่าว่า เดิมกัปปะเป็นเทพที่ดูแลแม่น้ำลำคลอง แต่เมื่อมนุษย์เลิกนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กัปปะเลยตกชั้นเป็นเพียงภูติผีธรรมดา
  อาจเป็นไปได้ว่า สิ่งที่มีบุคคลเห็นปีศาจชนิดนี้ คือ สัตว์บางประเภทเช่น นาก หรือ ลิง มาก้มดื่มน้ำในเวลากลางคืนก็ได้ ปัจจุบัน เรื่องราวของกัปปะถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ ละคร หรือการ์ตูนต่าง ๆ มากมาย เช่น ตัวละคร ซูเนโอะ ในเรื่องโดราเอมอน ก็นำมาจากกัปปะนั่นเอง โดยมากแล้ว กัปปะ ที่ปรากฏตามสื่อต่าง ๆ นั้น มักจะไม่มีภาพของความน่ากลัวหรือเป็นอันตราย ซึ่งต่างไปจากความเชื่อดั้งเดิม
 คาไมทาจิ 鎌鼬 • かまいたち จะเล่นงานนักเดินทาง โดยการชนให้ล้ม ฟันให้เป็นแผล แล้วทายาให้ไม่รู้สึกเจ็บ

คาไมทาจิ (「鎌鼬」, Kama-itachi, 鎌鼬) เป็นภูตลมในตำนานความเชื่อญี่ปุ่น ชื่อของคาไมทาจินั้น คามะ แปลว่า เคียว,อิทาจิ แปลว่า ตัววีเซิล เนื่องจากว่าคาไมทาจิเป็นภูตลม จึงเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเหมือนสายลม เรื่องเล่าเกี่ยวกับคาไมทาจิมีอยู่ว่าผู้คนที่ขึ้นไปบนภูเขา บางครั้งจะพบกับลมหมุน เมื่อลมหมุนผ่านไป เขาก็พบว่าตัวเองมีบาดแผลแต่ไม่รู้สึกเจ็บ คาไมทาจิอาศัยอยู่ในลมหมุน มีอยู่ด้วยกัน 3 ตัว มีพฤติกรรมคือ ตัวแรกจะชนเหยื่อให้ล้ม ตัวที่สองจะฟันเหยื่อให้เป็นแผล ส่วนตัวที่สุดท้ายจะทายาให้เพื่อห้ามเลือดและระงับอาการเจ็บปวด แต่การจู่โจมบางครั้งก็สร้างบาดแผลร้ายแรง และเจ็บปวดกว่าที่คิด ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าทำไมคาไมทาจิจึงมีพฤติกรรมเช่นนั้น
   คาไมทาจิจัดว่าเป็นอันตรายกับมนุษย์ เพราะมีบางเรื่องเล่ากล่าวว่า ผู้ที่พบปรากฏการณ์คาไมทาจิ บางครั้งไม่ได้ถูกฟันครั้งเดียว แต่จะถูกฟันแล้วทายา แล้วถูกฟันซ้ำๆอีก ซึ่งนับว่าน่ากลัว เพราะว่าคาไมทาจิมีนิสัยชอบต่อสู้อยู่เหมือนกัน

   ซาชิกิวาราชิ 座敷童子 • ざしきわらし เทพอารักษ์ที่เป็นเด็ก ส่วนมากเป็นผู้หญิง ถ้าอยู่บ้านใครจะนำความมั่งคั่งมหาศาลมาให้ แต่ถ้าจากไปความมั่งคั่งที่นำมาจะมลายหายไปจนสิ้น
ซาซิกิวาราชิ (「座敷童子」, Zashiki-warashi, 座敷童子) ตามความเชื่อส่วนมากมักจะอยู่ในรูปเป็นเด็กผู้หญิงที่อายุน้อยๆ ราวๆ 5-14 ปี อาศัยอยู่ตามห้องของบ้านที่เก่าๆ และตามอาคารต่างๆ บางครั้งจะวิ่งเล่นจนผู้อาศัยได้ยินเสียง บางครั้งจะออกมาเล่นกับเด็กๆ ซึ่งผู้ใหญ่จะมองไม่เห็น ซาชิกิวาราชิยังช่วยปกป้องเจ้าของบ้านจากภยันตรายต่างๆ รวมไปถึงสิ่งอัปมงคลที่จะมาย่างกรายเข้ามา ภายในบ้านที่ซาชิกิวาราชิอาศัยอยู่
   เนื่องจากซาชิกิวาราชิจัดว่าเป็นผีประเภทหนึ่ง และมีพลังที่น่ากลัวของเทพอารักษ์ซึ่งมีทั้งคุณและโทษ มีเรื่องเล่าว่า หากซาชิกิวาราชิไปอาศัยอยู่ที่บ้านของใคร จะนำโชคลาภมหาศาล และความมั่งคั่งมาสู่บ้านหลังนั้น แต่เมื่อใดซาชิกิวาราชิจากบ้านนั้นไป ทรัพย์สมบัติและความเจริญรุ่งเรืองที่ซาชิกิวาราชินำมา จะมลายหายไปจนสิ้น และความพินาศจะมาเยือน
   การที่ซาชิกิวาราชิจะเลือกอาศัยบ้านหลังไหนนั้น ไม่ทราบแน่ชัด แต่จะชอบเลือกบ้านที่ค่อนข้างเก่ามากกว่า สำหรับบ้านสมัยใหม่ซาชิกิวาราชิอาจจะเลือกเข้าอยู่บ้าง แต่ต้องไม่มีสำนักงานในตัวบ้าน เพราะซาชิกิวาราชิไม่ชอบกิจวัตรประจำวันที่อึกทึก ผู้คนพยายามที่จะสร้างห้องไว้ให้สำหรับซาชิกิวาราชิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามโรงแรมและสำนักงาน โดยจะเป็นห้องที่เต็มไปด้วยตุ๊กตาและของเล่น แต่ความพยายามดังกล่าวมักสูญเปล่า
   การจะให้ซาชิกิวาราชิอยู่กับบ้านใดบ้านหนึ่งนานๆ ต้องการการดูแลที่เหมาะสม ซาชิกิวาราชิไม่ชอบการเอาใจที่มากเกินไป เพราะว่าซาชิกิวาราชิมีนิสัยเหมือนเด็ก บางครั้งก็สร้างปัญหาให้ได้เหมือนกัน การพูดคุยอย่างสุภาพเป็นวิธีที่ดีกว่าการแสดงอารมณ์โกรธ เพราะความโกรธจะขับไล่ซาชิกิวาราชิไปเหมือนกัน

  ทานูกิ 狸 • たぬき มันมักจะเสกใบไม้ให้กลายเป็นเงิน เพื่อหลอกตาคนเสมอๆ เนื่องจากว่าของที่ทานูกิโปรดปรานก็คือ เหล้าสาเก ทั้งยังชอบเรื่องตลกขำขัน และธรรมชาติที่สงบ ทานูกิเชี่ยวชาญการแปลงกายเป็นสิ่งของมาก แต่กลับอ่อนเชิงเมื่อมันพยายามแปลงกายเป็นมนุษย์ เพราะจะเหลือหลักฐานมากมายให้จับได้

ทานูกิ เป็นสัตว์ที่ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่า เป็นปีศาจที่สามารถแปลงร่างได้ โดยใช้ใบไม้แปะไว้ที่หน้าผาก โดยความเชื่อนี้ปรากฏให้เห็นบ่อย ๆ ตามสื่อต่าง ๆ เช่น การ์ตูน เป็นต้น โดยเชื่อว่าเป็นสัตว์ที่ชอบดื่มเหล้าสาเก แต่จะไม่ซื้อเหล้าสาเกให้เปลืองเงินแต่จะใช้วิธีการแปลงร่างหลอกเอาเหล้ามาดื่ม รักสนุก และจะชอบหลอกมนุษย์ด้วยการแปลงลูกอัณฑะให้มีขนาดใหญ่ด้วย

   นุราริเฮียวน์ ぬらりひょん นุราริเฮียวน์ หรือเทพอาคันตุกะ ไม่เป็นอันตรายกับมนุษย์ มักปรากฏตัวในรูปชายชราหัวโตๆ หน้าตาอิ่มเอิบ มีพลังในการสะกดจิตผู้คน ทำให้ผู้คนเข้าใจผิดว่าเป็นเจ้าของบ้าน หรือเจ้านายใหญ่ โดยมีเรื่องเล่าว่าเทพอาคันตุกะมักจะเข้าบ้านคนอื่น โดยไม่เกรงใจ และดื่มกินตามที่ตัวเองต้องการ บางครั้งผู้คนก็เข้าใจว่าเป็นปีศาจนักต้มตุ๋น ทว่าตามบ้านเก่าๆ มักมีศาลเจ้าที่เตรียมเครื่องเซ่นไว้ ซึ่งเป็นการจัดเตรียมไว้เพื่อต้อนรับเทพอาคันตุกะ ที่อาจจะมาแวะเยี่ยมเยียนตามบ้าน
  ยูกิอนนะ 雪女 • ゆきおんな มักจะเล่นงานนักเดินทางโชคร้าย ที่ติดพายุหิมะ
สตรีหิมะ หรือ ยูกิอนนะ (「雪女」, yuki onna, – นางหิมะ) ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น เป็นชื่อที่ใช้เรียกภูตหิมะที่มีรูปร่างเป็นสตรีที่งดงาม ว่ากันว่าเป็นจิตวิญญาณแห่งฤดูหนาว ซึ่งยูกิอนนะนี้ จะมีลักษณะเป็นผู้หญิงสาวสวย สวมชุดกิโมโนสีขาวสะอาด นางจะปรากฏตัวบนภูเขาหิมะในวันที่มีพายุหิมะ และหลอกล่อให้ผู้ชายที่หลงไหลในความงามของนางไปสู่ความตาย เรื่องเล่าของสตรีหิมะมีหลากหลายอยู่ว่า บางครั้งเล่ากันว่าในวันที่หิมะตกหนัก นักเดินทางที่โชคไม่ดี จะได้พบกับสตรีหิมะท่ามกลางพายุหิมะที่อันตราย เธอจะสวมกิโมโนสีขาว และค่อนข้างตัวสูง บ้างก็เล่าว่าเธอสวมกิโมโนสีแดง แล้วรอยเท้าที่เธอเดิน เต็มไปด้วยคราบเลือด บางครั้งเชื่อว่าสตรีหิมะเป็นวิญญาณของหญิงที่ตั้งครรภ์ ที่ตายเพราะพายุหิมะ และเมื่อใครเดินผ่านมาตามทางแล้วพบเห็นเธอเข้า เธอจะยิ้มแล้วยอมให้คนนั้นอุ้มลูก เหยื่อจะไม่สามารถปล่อยลูกของเธอได้เมื่ออุ้มแล้ว และลูกของเธอจะหนักขึ้นและเย็นจนแข็ง ทำให้เหยื่อขยับไปไหนไม่ได้ และจะจมหิมะตาย
  ทว่าเรื่องเล่าที่มีชื่อเสียงของสตรีหิมะ เป็นเรื่องที่มีอยู่ว่า ชายตัดฟืน 2 คน คนหนึ่งยังหนุ่ม ส่วนอีกคนค่อนข้างมีอายุ ติดอยู่ท่ามกลางพายุหิมะไม่สามารถกลับได้ จึงต้องหาที่พักซึ่งเป็นกระท่อมร้างเพื่อหลบหิมะก่อน เมื่อทั้งคู่หลับลง กลางดึกนั้นมีเพียงชายคนที่อายุน้อยกว่ากึ่งหลับกึ่งตื่น เห็นผู้หญิงที่สวมกิโมโนสีขาว หน้าตาซีดเผือก และมีแววตาที่น่ากลัว เป่าลมหายใจใส่ชายคนที่มีอายุกว่า ชายคนที่อายุน้อยกว่าตกใจมากจนพูดไม่ออก แล้วสตรีหิมะก็เข้ามากระซิบว่าเธอจะไว้ชีวิตเขา ตราบเท่าที่เขาไม่แพร่งพรายเรื่องของเธอให้ใครรู้ แล้วสตรีหิมะก็หายตัวไป เขาพบว่าชายคนที่สูงวัยกว่าได้แข็งตายไปแล้ว
  หลังจากนั้น 1 ปีให้หลัง เขาได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ค่อนข้างสูง หน้าตาซีดเผือด แต่เป็นผู้หญิงที่หน้าตาดี เขาตัดสินใจแต่งงานและอยู่กินกับเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะมีลูกกับเขาถึง 10 คน แต่ความงามของเธอไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยซักนิดเดียว วันหนึ่งสามีก็เกิดหลุดปาก เล่าเรื่องสตรีหิมะออกมาให้เธอฟัง เมื่อเธอได้ยิน เธอก็คืนร่างกลับเป็นสตรีหิมะตนเดิม ตนเดียวกับที่สามีเคยเจอ ด้วยความเป็นมนุษย์ ฝ่ายสามีเกิดหวาดกลัวภรรยา แต่เพราะว่าเธอเห็นแก่ลูกๆ จึงไว้ชีวิตสามีแล้วหายตัวไป หลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้พบกับสตรีหิมะนางนั้นอีกเลย
  ส่วนใหญ่แล้ว เรื่องเล่าของ ยุกิอนนะ จะปรากฏในทางตอนเหนือของเกาะญี่ปุ่นเสียเป็นส่วนมาก ไม่ว่าจะเป็นทางแถบฮอกไกโด หรือทางแถบจังหวัดอิวาเทะ เนื่องจากทางตอนเหนือของญี่ปุ่นจะมีอากาศหนาวเย็น และมีหิมะปกคลุมอยู่เกือบตลอดทั้งปี จึงมีเรื่องเล่าขานของยูกิอนนะ มากกว่าท้องที่อื่นๆ


สาวคอยาว ろくろ首 • ろくろくび สามารถยืดคอได้ยาวมาก

โรคุโรคุบิ (「ろくろ首」, Rokurokubi, ろくろ首) หรือ สาวคอยาว เป็นเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับ มนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่แต่ต้องคำสาปหรืออาถรรพ์ เมื่อตกกลางคืนจะยืดคอออกไปได้ยาวมาก มักจะเป็นเฉพาะในผู้หญิง มีพฤติกรรมที่จะเป็นอันตรายต่อมนุษย์ สาวคอยาวจะดูดพลังของเหยื่อที่เป็นทั้งคนและสัตว์ และจะใช้ลิ้นเลียเพื่อดับไฟตะเกียง ซึ่งสาวคอยาวนั้นมักจะ เป็นผู้หญิงที่ต้องพบกับรักที่ผิดหวัง เพราะว่าเมื่อสามีมาพบว่าภรรยาตนเป็นสาวคอยาว มักจะหนีไปด้วยความหวาดกลัว
  ส่วนมากสาวคอยาวมักจะแฝงตัวอยู่กับคนธรรมดาได้ แต่ต้องทุกข์ทรมาณกับการพยายาม ซ่อนร่างจริงของตัวเอง ถึงแม้ว่าสาวคอยาวพยายามปิดบังร่างจริง แต่ความที่เป็นผีทำให้มีความรู้สึกที่จำเป็นจะต้อง แสดงร่างคอยาวออกมาเสมอๆ สาวคอยาวจึงมักจะแสดงร่างจริงออกมาต่อหน้าพวกขี้เมา หรือพวกงี่เง่าเท่านั้น
  สาวคอยาวไม่มีนิสัยชอบหลอกคนเหมือนผีร้ายอื่นๆ เพราะยังมีความเป็นมนุษย์อยู่มาก ทั้งยังคิดว่าตัวเองสามารถใช้ชีวิตอย่างมนุษย์ปกติได้ บางครั้งอาการคอยาวจึงออกมาตอนหลับเท่านั้น เมื่อตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่าตัวเองปวดคอ และฝันเห็นสถานที่ต่างๆ ในมุมมองที่แปลกๆ





นางแมงมุม (จูโรคุโมะ )

เชื่อกันว่าเป็นแมงมุมเพศหญิง ที่มีชีวิตติดต่อกันหลายร้อยปี ซึ่งได้ดูดเลือดคนจำนวนมากจนทำให้วิชาอาคมแกร่งกล้าข  พัฒนาเป็นนางแมงมุมในตอนกลางวันนางจะแปลงร่างเป็นผู้ หญิง สาวสวยหลอกล่อผู้ชายมาดูดเลือด
ในอดีต โชกุนมินาโมโตะ โยริมิตสึ เกิดล้มป่วยลง รักษายังไงก็ไม่หายเสียที จึงได้เชิญหมอผีมาทำพิธีปัดเป่าวิญญาณ แต่ก็ไม่สำเร็จ ได้แต่ทนปวดหัว ไข้ขึ้น ทรมานอยู่อย่างนั้น
กระทั่งคืนวันหนึ่ง มีพระสงฑ์รูปหนึ่ง สูงประมาณ 2 เมตรมาปรากฏตัวตรงด้านหลังโคมไฟในห้องของท่าน และย่างเท้าเข้ามาหา พร้อมกับปล่อยใยแมงมุมใส่
โชกุนตื่นขึ้นมาพอดี จึงรีบคว้าดาบของ ฮิซาคิริมารุ ซึ่งมานอนเฝ้าไข้ ขึ้นมาฟันปีศาจตนนั้นเต็มแรง
เมื่อผู้ติดตามด้านนอกได้ยินเสียงเอะอะ ก็รีบรุดเข้ามา ทันเห็นรอยเลือดหยดอยู่ข้างโคมไฟ จึงติดตามรอยนั้นไปจนถึงเนินดินเก่า ๆ แห่งหนึ่ง
พวกเขาจึงลองขุดเนินดินนั้นดู ก็พบปีศาจแมงมุมตัวใหญ่ ผุดขึ้นมาปล่อยใยแมงมุมอีกรอบ แต่ก็โดนฆ่าตายในที่สุด
จากนั้นเป็นต้นมา ท่านโชกุนก็หายจากอาการประหลาดนี้เป็นปลิดทิ้ง และไม่เคยป่วยอีกเลยตราบสิ้นอายุขัย


จิ้งจอกเก้าหาง

ในตำนานของญี่ปุ่นได้กล่าวถึงจิ้งจอกเก้าหางว่า เป็นปิศาจที่หลบหนีมาแฝงตัวอยู่ในราชสำนักของญี่ปุ่น ในรัชสมัยของจักรพรรดิ์โทบะ
หลังจากที่หลบหนีมาจากอินเดีย และจีนมาแล้ว โดยแฝงตัวมาในร่างของหญิงงามนามว่า ทามาโมะ มาเอะ พระสนมของจักรพรรดิ์โทบะ
นางทำให้จักรพรรดิ์โทบะลุ่มหลงในความงามของนาง และสุขภาพของจักรพรรดิ์โทบะก็ทุดโทรมลงทุกวัน
จึงได้มีการอัญเชิญนักพรตจากหอองเมียวมาทำพิธีปัดรัง ควาน
พบว่าในวังมีปิศาจจิ้งจอกเก้าหางสีทองแฝงตัวอยู่ เมื่อความแตก ทามาโมะ มาเอะ
จึงได้คืนร่างเป็นจิ้งจอกสีทองตัวมหึมา มีเก้าหาง เหาะหลบหนีไปบนท้องฟ้า
กองทหารของจักรพรรดิ์โทบะได้ไล่ตามไปจนถึงที่ราบสูงน าสุ และต่อสู้กับปิศาจจิ้งจอกเก้าหาง และสามารถสยบจิ้งจอกเก้าหางลงได้
กลายเป็นหินเซ็ทโชเซกิ ซึ่งกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อแห่งหนึ่งของญี ่ปุ่นมาจนปัจจุบันนี้
อนึ่งมักเกิดความสับสนในผู้ที่เริ่มต้นศึกษาซึ่งเอาต ำนานของปีศาจจอกเก้าหางมารวมกับ
ตำนานของเทพเจ้าแห่งจิ้งจอก อินาริ ( Inari หรือ Oinari) ซึ่งแท้จริงเป็นคนละอย่างกัน
 

ที่มา  http://www.ilovetogo.com/Article/76/1089/%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B5%E0%B8%8D%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99

ตำนานแม่นาคแห่งญี่ปุ่น


    



     ตำนานแม่นาคแห่งญี่ปุ่น
          โออิวะ ผีทวงแค้น


   โออิวะ นั้นเป็นที่รู้จักกันดีจากบทละครเรื่อง โทคัยโด โยซึยะ คัยตัน ซึ่งเป็นบทประพันธ์ของ นัมโบกุ เกี่ยวกับวิญญาณของหญิงสาวที่ตายไปเพราะความเคียดแค้นที่สามีหลอกแต่งงานเพื่อกอบโกยสมบัติจากตระกูลตน ในที่สุดทุกคนที่ร่วมกันหักหลัง โออิวะ ก็จะเริ่มมีอันเป็นไปทีละคน ทีละคน ในสมัยเอโดะ มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อ โออิวะ นางเป็นคนที่มีหน้าตาน่าเกลียดมาตั้งแต่ยังเล็ก และเพราพิษไข้ที่ทำให้นางป่วยคราวนั้นส่งผลให้มีเนื้องอกมาบดบังดวงตานางไปข้างหนึ่ง แต่โออิวะนั้นเกิดในตระกูลของเศรษฐีที่ร่ำรวยเงินทอง มีข้าทาสบริวารมากมาย โออิวะรันทดมาตั้งแต่ยังเด็ก ไม่มีคนคบหาสมาคมด้วย นางจึงต้องอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด
   ครั้งเวลาผ่านมาเกิดเรื่องน่ายินดีกับนางขึ้น เมื่อมีซามูไรหนุ่มผู้หนึ่งนาม อิเยมอน ได้มาขอนางแต่งงาน ทั้งสองตระกูลจึงร่วมจัดงานมงคลนี้ขึ้น โออิวะจึงได้เป็นฝั่งเป็นฝา
   แรกเริ่มก็ทำท่าจะดี อิเยมอนห่วงใยเอาใจใส่โออิวะตลอดเวลา นางจึงนึกดีใจคนหน้าตาอัปลักษณ์อย่างนางยังมีสามีที่ดี และคอยห่วงใย แต่นานวันเข้าท่าทางของอิเยมอนก็เปลี่ยนไป เขาเริ่มแสดงท่าทีรังเกียจโออิวะขึ้นเรื่อย ๆ ครั้งหนึ่งโออิวะไม่สบายในขณะที่เขาป้อนยาให้นางนางเผลออาเจียนใส่เสื้อเขา เขารีบผลักร่างนางจนล้มไปนอนที่พื้น แล้วตะโกนด่าทอนางสาระพัด
   โออิวะล่วงรู้ถึงแผนการที่ชั่วร้ายของอิเยมอน เมื่อกลางดึกคืนหนึ่งนางแอบฟังอิเยมอนพูดกับคนของเขาถึงเรื่องการกอบโกยสมบัติของตระกูล ในที่สุดนางก็รู้ว่าแท้จริงแล้วที่อิเยมอนยอมแต่งงานกับนางไม่ใช่เพราะรักนางจากใจจริง แต่เพราะเห็นว่าตระกูลโออิวะร่ำรวยจึงคิดจะครอบครองทรัพย์สมบัติทั้งหมดไว้แต่เพียงผู้เดียว โออิวะได้ยินดังนั้นจึงร้องไห้เสียใจอย่างยิ่ง
   โออิวะมีท่าทีที่เศร้าสร้อยต่างไปจากเดิม ทุกครั้งที่นางอยู่กับอิเยมอนนางพยายามเอาอกเอาใจเขาอย่างสุดความสามารถเพื่อหวังจะให้อิเยมอนหันกลับมารักนางด้วยใจจริง แต่เขากลับมีท่าทีเมินเฉยจนโออิวะช้ำใจ
   นานวันเข้าโออิวะเกิดป่วยหนักเพราะโรคที่คุกคามนางมาแต่เด็กกำเริบขึ้นอีกครั้ง นางมีสุขภาพที่อ่อนแอลงทุกวัน ๆ แต่ก็ยังไม่วายที่จะปรนนิบัติรับใช้สามี ต่างจากสามีที่เมื่อเห็นสภาพนางแล้วกลับรังเกียจเดียดฉัน
   กลางฤดูฝนวันหนึ่งที่มีพายุเข้า และฝนตกหนัก อิเยมอนได้แอบลักลอบเอาผู้หญิงคนหนึ่งมานอนกกอยู่ในห้อง เขาพูดกับนางนั้นว่าอีกไม่นานเขาจะกอบโกยทรัพย์สมบัติจากตระกูลโออิวะแล้วจะพานางไปเสพสุขอยู่ที่ต่างเมือง เป็นจังหวะเดียวกับที่โออิวะถือสำรับกับข้าวแล้วเปิดประตูมาหวังจะทานร่วมกับสามี นางเปิดมาเห็นภาพบาดตาบาดใจที่ทำลายหัวใจนางให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ แล้วทิ้งสำรับล้มฟุบร้องไห้อยู่ตรงประตูนั้น อิเยมอน และผู้หญิงนางนั้นเห็นจึงตกใจ โออิวะร้องไห้เสียใจปานน้ำตาเป็นสายเลือด และแล้วนางก็หอบสภาพร่างกายที่ทรุดโทรมเพราะพิษไข้ของนางวิ่งหายออกไปจากบ้านท่ามกลางพายุ และสายฝนที่โหมกระหน่ำ
   โออิวะร้องไห้วิ่งหายออกไปท่ามกลางสายฝน และหลังจากวันนั้นมาก็ไม่มีใครเห็นนางอีกเลย ไม่มีข่าวถึงนาง ไม่มีชาวบ้านรู้ว่านางหายไปไหน
   อิเยมอนกลับไม่สนใจเรื่องของโออิวะมากนัก เขากลับอยู่กินเสพสุขกับภรรยาคนใหม่อย่างสุขสบาย กับคฤหาสถ์ที่ใหญ่โต และทรัพย์สมบัติที่ครบครัน
   แต่แล้วเรื่องน่าสยดสยองก็เกิดขึ้นหลังจากนั้น เมื่อคนของอิเยมอนที่เคยร่วมคิดหักหลังโออิวะค่อย ๆ มีอันเป็นไปทีละคน ทีละคน บ้างก็ล้มป่วยตายไปกระทันหัน บ้างก็โดนเสาเรือนล้มทับ บ้างก็ถูกเกวียนชน และมาถึงคราวของภรรยาคนใหม่ของอิเยมอน ขณะที่ตั้งท้องได้เจ็ดเดือนนางกลับลื่นตกบันไดจนตกเลือดแท้งลูกอาการสาหัสจนต้องส่งไปรักษาพยาบาลโดยเร็ว คืนวั้นนั้นเองอิเยมอนถูกผีของโออิวะมาเข้าฝัน นางมานั่งร่ำไห้ในสภาพที่น่าสยดสยอง ด้วยใบหน้าที่อัปลักษณ์น้ำเลือดน้ำหนองไหล พร้อมกับโอดครวญว่า "ทำไมถึงทรยศข้า ทำไมถึงทรยศข้า..." อิเยมอนตกใจกลัวสุดขีดสะดุ้งตื่น แล้วก็ต้องตกใจรอบสองจนแทบช๊อกเพราะมีผีโออิวะนั่งร้องไห้อยู่ข้างที่นอนตนจริง ๆ
ที่มา http://www.oknation.net/blog/tutortoo/2010/07/05/entry-1