日本国
นิฮงโกะกุ/นิปปงโกะกุ
ประเทศญี่ปุ่น
ประวัติในประเทศญี่ปุ่น ประเทศญี่ปุ่น (日本 , นิฮง , แปลว่า "ถิ่นกำเนิดของดวงอาทิตย์") เป็นประเทศในเอเชียตะวันออก ตั้งอยู่ระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิก และทางตะวันออกของคาบสมุทรเกาหลี ชื่อในภาษาญี่ปุ่นที่มักจะแปลว่า "ดินแดนอาทิตย์อุทัย (The Land of the Rising Sun)" มาจากประเทศจีน โดยอ้างถึงที่ตั้งของประเทศญี่ปุ่น คือ ตั้งไปทางทิศตะวันออกเมื่อเทียบกับทวีปเอเชีย ก่อนหน้าที่ญี่ปุ่นจะมีความสัมพันธ์กับจีน ก็ได้เรียกตัวเองว่า ยะมะโตะ (大和) ส่วนวา (倭) เป็นชื่อที่ชาวจีนยุคแรกใช้เรียกญี่ปุ่นในช่วงยุคสามก๊กประเทศญี่ปุ่นประกอบ ด้วยเกาะจำนวนมาก โดยมีเกาะใหญ่ๆ จากทางเหนือไปทางใต้ คือ ฮอกไกโด (北海道) , ฮอนชู (本州 , เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุด) , ชิโกกุ (四国) , และคิวชู (九州)
เพลงชาติของญี่ปุ่น คิมิกะโยะ (君が代)
เชื้อชาติ ญี่ปุ่น
ศาสนา มีศาสนาใหญ่ๆ มี 2 ศาสนา คือ ศาสนาพุทธ และศาสนาชินโต
เมืองหลวงของญี่ปุ่น โตเกียว
เมืองที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น โตเกียว
เมืองสำคัญ โตเกียว โยโกฮามา โอซากา นาโกยา โกเบ ฟูกูโอกะ คาวาซากิ ฮิโรชิมา
ภาษาราชการที่ใช้ ภาษาญี่ปุ่น
การศึกษา ภาคบังคับ 9 ปี (ประถมศึกษา 6 ปี มัธยมศึกษาตอนต้น 3 ปี)
รัฐบาลของญี่ปุ่น Constitutional monarchy
จักรพรรดิของญี่ปุ่น สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ
นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น จุนอิชิโร โคะอิซุมิ
เนื้อที่ทั้งหมดของญี่ปุ่น 377,835 กม. (อยู่ในอันดับที่ 60)
ประชากรล่าสุดของของญี่ปุ่น 127,417244 (อยู่ในอันดับ 10)
สกุลเงินที่ใช้ เยน (¥) , (JPY)
เขตเวลา JST (UTC+9)
เวลา เร็วกว่าไทย 2 ชั่งโมง
รหัสอินเทอร์เน็ต.jp
รหัสโทรศัพท์+81
ประเทศคู่ค้าที่สำคัญ สหรัฐฯ จีน สาธารณรัฐเกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกง เยอรมนี และไทย
ภูมิอากาศ มี 4 ฤดู คือ ฤดูใบไม้ผลิ , ฤดูร้อน , ฤดูใบไม้ร่วง , ฤดูหนาว
ประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ประวัติศาสตร์ตามที่บันทึกไว้ใน "นิฮงโชะกิ" (日本書紀 , Nihonshoki) หนังสือเล่มแรกของญี่ปุ่น ประเทศญี่ปุ่นก่อตั้งเมื่อวันที่ 1 มกราคม 660 ปีก่อนคริสตกาล (ตามปฏิทินแบบเก่า) โดย คะมุยะมะโตะอิวะเระฮิโกะ (หรือเรียกตามชื่อรัชกาลว่า จักรพรรดิจินมุ) อย่างไรก็ดี มีความเชื่อว่าจักรพรรดิจินมุไม่ได้เป็นบุคคลจริง หรือมีความเชื่อว่าอาจจะถูกเพิ่มเข้ามาภายหลัง ในช่วงที่มีการแก้ไขนิฮงโชะคิ คาดกันว่าเริ่มใช้ชื่อประเทศว่า นิฮง (日本 , Nihon) เหมือนในปัจจุบัน ในช่วงครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษที่ 7 โดยพบหลักฐานในหนังสือของสาสน์ของทูตใน พ.ศ.1244 (ค.ศ.701) ความหมายของคำว่า นิฮง มาจากการถือว่า "เป็นต้นกำเนิดของพระอาทิตย์เมื่อมองจากแผ่นดินใหญ่ของจีน" และโดยการทูตแล้ว ในสมัยนั้นถือว่าญี่ปุ่นมีฐานะเท่าเทียมกับแผ่นดินใหญ่ และมี เฮโจวเกียว เมืองหลวงในจังหวัดนาราและ เฮอังเกียว เมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นโตเกียว เป็นเมืองหลวงนานถึง 1074 ปี
การเมืองในญี่ปุ่น ประเทศญี่ปุ่นปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย โดยมีสมเด็จพระจักรพรรดิทรงเป็นประมุข มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าของคณะรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรีได้รับเลือกจากสมาชิกรัฐสภา รัฐสภา (国会 , Kokkai) ประกอบด้วย 2 สภา คือ สภาผู้แทนราษฎร (衆議院 , Shugi - in) และ วุฒิสภา (参議院 , Sangi - in) สภาผู้แทนราษฎรมีสมาชิก 480 คน มีวาระ 4 ปี วุฒิสภามีสมาชิก 247 คน มีวาระ 6 ปี สมาชิกทั้งสองสภามาจากการเลือกตั้ง พรรคการเมืองที่สำคัญ คือ พรรคเสรีประชาธิปไตย (自由民主党 , Jiyuuminshutou เรียกย่อๆ ว่า 自民党 , Jimintou , Liberal Democrat Partyหรือ LDP) ซึ่งครองอำนาจ และบริหารประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ พ.ศ.2498 (ค.ศ.1955) (เว้นไปช่วงสั้นๆ ในปี พ.ศ.2536 (ค.ศ.1993) เท่านั้น) ในปัจจุบัน รัฐบาลญี่ปุ่นเป็นรัฐบาลผสมระหว่างพรรคเสรีประชาธิปไตยและ พรรคโคเมโต (公明党 , Koumeitou , New Komeito Party)
การแบ่งเขตการปกครองของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นแบ่งการปกครองออกเป็น 47 จังหวัด ซึ่งมักจะถูกจับเข้ากลุ่มตามเขตแดนที่ติดกันที่มีวัฒนธรรม และสำเนียงการพูดใกล้เคียงกัน
เขตแดน : จังหวัด **
• ฮอกไกโด : ฮอกไกโด
• โทโฮะกุ : ฟุกุชิมะ มิยะงิ ยะมะงะตะ อะโอะโมะริ อะกิตะ อิวะเตะ
• คันโต : กุนมะ คะนะงะวะ จิบะ ไซตะมะ โตเกียว โทะจิงิ อิบะระกิ
• จูบุ : กิฟุ ชิซึโอะกะ นะงะโนะ นีงะตะ โทะยะมะ ฟุกุอิ ยะมะนะชิ อิชิกะวะ ไอจิ
• คันไซ : เกียวโตะ ชิงะ นะระ มิเอะ วะกะยะมะ โอซะกะ เฮียวโงะ
• จูโงะกุ : ชิมะเนะ โทตโตะริ ยะมะงุจิ โอะกะยะมะ ฮิโระชิมะ
• ชิโกะกุ : คะงะวะ โคจิ โทะกุชิมะ เอะฮิเมะ
• คิวชู : คะโงะชิมะ คุมะโมะโตะ ซะงะ นะงะซะกิ ฟุกุโอะกะ มิยะซะกิ โออิตะ
• โอะกินะวะ : โอะกินะวะ
หมายเหตุ **
• คำว่าจังหวัดในภาษาญี่ปุ่นมี 4 แบบ คือ
• โทะ (都) ใช้เฉพาะโตเกียวซึ่งเป็นเมืองหลวง
• โด (道) เฉพาะฮอกไกโด
• ฟุ (府) ใช้กับเกียวโตะและโอซากาซึ่งเคยเป็นเมือง
หลวงในอดีต **
• เค็ง (県) ใช้กับจังหวัดอื่นๆ
• เมื่อพูดถึงจังหวัดรวมๆ จะใช้ว่า โทะโดฟุเค็ง (都道府県)
ภูมิศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่น ประเทศญี่ปุ่นมีลักษณะเป็นเกาะ ทำให้กูมิประเทศติดกับทะเล ไม่ติดกับประเทศใดเลย การที่ประเทศญี่ปุ่นมีลักษณะเป็นเกาะ ทำให้ญี่ปุ่นเผชิญกับปัญหาแผ่นดินไหวมากกว่าทุกๆ ประเทศในโลก ที่ทำให้ญี่ปุ่นประสบกับภาวะแผ่นดินไหวเช่นนี้ เพราะญี่ปุ่นมีสภาพภูมิศาสตร์ตั้งอยู่บนรอยเลื่อนต่างๆ มากมาย
เศรษฐกิจในประเทศญี่ปุ่น ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ สองของโลก ความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจญี่ปุ่น จะมีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก หน่วยเงินตราที่ใช้ คือ เยน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสามหน่วยเงินหลักของโลก ทรัพยากรธรรมชาติส่วนใหญ่มีจำนวนน้อย แต่ที่มีอยู่มาก คือ ซีเมนต์ ที่ใช้วัตถุดิบ คือ หินภูเขาไฟ แก้ว ทอง เงิน ทองแดง และถ่านหิน อุตสาหกรรมนั้นเป็นเน้นไปที่การผลิต มีการนำเข้าน้ำมันดิบและแร่เหล็ก เพื่อนำไปผลิตรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ ส่งออกไปจำหน่าย ถือเป็นการค้าโดยการผลิต ในปัจจุบันมีการนำเข้าชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ จากประเทศเกาหลีใต้และไต้หวัน โดยการนำเข้าแล้วส่งออกผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์มีปริมาณมากที่สุด ประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ประเทศในเอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ สหภาพยุโรป ซาอุดิอาระเบีย และจีน โดยไม่มีการขาดดุลทางการค้า
ประชากรในประเทศญี่ปุ่น_เมืองสำคัญของญี่ปุ่น ได้แก่
• เมืองซัปโปโร (札幌市) ฮอกไกโด (北海道) : ประมาณ 1,900,000 คน
• เมืองเซนได (仙台市) จังหวัดมิยากิ (宮城県) :ประมาณ 1,000,000 คน
• เมืองไซตามะ (さいたま市) จังหวัดไซตามะ (埼玉県) : ประมาณ 1,200,000 คน
• เมืองชิบะ (千葉市) จังหวัดชิบะ ( 葉県) : ประมาณ 900,000 คน
• เมืองโยโกฮาม่า (横浜市) จังหวัดคานากาว่า (神奈川県) : ประมาณ 3,600,000 คน
• เมืองคาวาซากิ (川崎市) จังหวัดคานากาว่า (神奈川県) : ประมาณ 1,300,000 คน
• เมืองชิซุโอกะ (静岡市) จังหวัดชิซุโอกะ (静岡県) : ประมาณ 700,000 คน
• เมืองนาโกย่า (名古屋市) จังหวัดไอจิ (愛知県) : ประมาณ 2,200,000 คน
• เมืองเกียวโต (京都市) จังหวัดเกียวโต (京都府) : ประมาณ 1,500,000 คน
• เมืองโอซาก้า (大阪市) จังหวัดโอซาก้า (大阪府) : ประมาณ 2,600,000 คน
• เมืองโกเบ (神戸市) จังหวัดเฮียวโกะ (兵庫県) : ประมาณ 1,500,000 คน
• เมืองฮิโรชิม่า (広島市) จังหวัดฮิโรชิม่า (広島県) : ประมาณ 1,200,000 คน
• เมืองฟุกุโอกะ (福岡市) จังหวัดฟุกุโอกะ (福岡県) : ประมาณ 1,400,000 คน
• เมืองคิตะคิวชู (北九州市) จังหวัดฟุกุโอกะ (福岡県) : ประมาณ 1,000,000 คน
วัฒนธรรมของญี่ปุ่น1. ชุดกิโมโนเป็นเครื่องแต่งกายประจำชาติ ของผู้หญิงญี่ปุ่น 2. ธงรูปปลาคาร์ปเป็นสัญลักษณ์ของ วันเด็กผู้ชาย 3. ซูชิเป็นอาหารญี่ปุ่นชนิดหนึ่ง ที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก
ที่มา : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=pongpinyo&month=02-2008&date=10&group=6&gblog=1
วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555
ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
ประวัติศาสตร์ แบ่งออกเป็น 2 ยุค 2 สมัย คือ
1. ยุคก่อนประวัติศาสตร์
2. ยุคกลาง
3. สมัยกลางใหม่
4. สมัยใหม่ - ปัจจุบัน
1. ยุคก่อนประวัติศาสตร์ และยุคโบราณ (8,000 ปีก่อนคริสตกาล - ศตวรรษที่ 11) ยุคนี้เริ่มจากการรวบรวมชนเผ่าเล็กๆ ขึ้นมาเป็นจักรวรรดิ และปกครองโดยใช้ระบบของจีนที่เรียกว่า ริทสึเรียว (ritsuryou : การใช้กฎหมายและหลักจริยธรรมตามแบบราชวงศ์สุยกับราชวงศ์ถัง) แต่เกิดมีความขัดแย้งขึ้นมาจนลุกลามออกไป หัวเมืองที่อยู่ห่างไกลแยกตัวจากรัฐบาลกลาง และก่อตั้งเป็นกลุ่มทหารกลุ่มต่างๆ
สมัยโจมน (Joumon) (8,000 - 300 ปีก่อนคริสต์กาล) ที่หมู่เกาะญี่ปุ่นมีผู้คนอาศัยมาตั้งแต่สมัยยุคหินเก่า แต่ก็เชื่อกันว่าชนชาติญี่ปุ่น และต้นกำเนิดของภาษาญี่ปุ่นได้เกิดขึ้นมาในสมัยโจมน คือ เมื่อประมาณหนึ่งหมื่นปีก่อนจนถึง 300 ปีก่อนคริสตกาล กล่าวกันว่า ผู้คนในยุคนั้นจะขุดหลุมเป็นบ้าน และอาศัยอยู่กันหลังละเกือบสิบคน ยังชีพโดยการล่าสัตว์ จับปลาหาอาหาร อีกทั้งไม่มีความจนความรวยความเหลื่อมล้ำในสังคมยุคนี้ อย่างไรก็ตามการขุดพบซากหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่ ซันไน มะรุยะมะ (Sannai Maruyama) ในจังหวัดอะโอะโมะริ (Aomori) ได้ทำให้ผู้คนหันมาสนใจในแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ใหม่
สมัยยะโยะอิ (Yaoi) (300 ปีก่อนคริสตกาล - ค.ศ.300) เมื่อประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล การปลูกข้าวกับวิทยาการการใช้เครื่องใช้โลหะได้ถูกนำเข้ามาทางตอนเหนือของ คิวชู โดยผ่านคาบสมุทรเกาหลี สิ่งเหล่านี้นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสังคม เช่น การเพิ่มผลผลิต ความแตกต่างความรวยความจน การแบ่งชนชั้น การปรับกลุ่มชาวนาให้เป็นกลุ่มนักปกครอง เป็นต้น ความเชื่อระเบียบแบบแผนธรรมเนียมปฏิบัติของชาวนาแพร่หลายออกไป จนกลายเป็นต้นแบบทางวัฒนธรรมญี่ปุ่นสืบไป วัฒนธรรมสมัยยะโยะอิมีความรุ่งเรืองต่อเนื่องจนถึงราวๆ ปี ค.ศ.300 และในช่วงปลายก็ได้แพร่ขยายจนถึงภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่นด้วย
สมัยสุสานโบราณ (Kofun) (ค.ศ.300 - 700) เมื่อประมาณกลางศตวรรษที่ 4 ชนเผ่าอิสระกลุ่มต่างๆ ได้ถูกรวบรวมโดยชนเผ่า ยะมะโตะ (Yamato) ขณะเดียวกันสุสานที่มีลักษณะพิเศษเป็นรูปกุญแจก็ถูกสร้างขึ้นทั่วไป ความรู้ และวิทยาการต่างๆ จากจีนได้หลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมากในสมัยนี้ ในศตวรรษที่ 4 ชนเผ่ายะมะโตะได้ขึ้นไปคาบสมุทรเกาหลี และรับเอาวัฒนธรรมการผลิตเครื่องใช้ของภาคพื้นทวีปมา ต่อมาในสมัยศตวรรษที่ 5 ชาวเกาหลีได้นำวิทยาการต่างๆ เข้ามา เช่น การผลิตเครื่องโลหะ เครื่องปั้นดินเผา การทอผ้า การถลุงเหล็ก และวิศวกรรมโยธา รวมทั้งมีการเริ่มใช้อักษรคันจิซึ่งเป็นตัวอักษรของจีนด้วย และเมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 6 ลัทธิขงจื้อ กับศาสนาพุทธก็ได้แพร่หลายเข้ามาในญี่ปุ่นเช่นกัน ในศตวรรษที่ 7 เจ้าชายโชะโทะคุ (Shoutoku) จัดวางระบบการปกครองโดยรวมอำนาจไว้ที่จักรพรรดิตามแบบราชวงศ์สุยกับราชวงศ์ ถังของจีนได้สำเร็จเมื่อครั้งปฏิรูปการปกครองไทขะ (Taika) และมีการส่งทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีจนถึงปลายศตวรรษที่ 9 ถึงสิบกว่าครั้ง
สมัยนะระ (Nara) (ค.ศ.710 - 794) เมื่อปี ค.ศ.710 ขณะที่บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองด้วยหลักกฎหมาย และจริยธรรม (ritsuryou) ก็ได้ย้ายเมืองหลวงมาที่เฮโจเคียว (Heijoukyou) หรือเมืองนะระและบริเวณใกล้เคียงในปัจจุบัน แต่ในเวลาต่อมาก็เริ่มเกิดความวุ่นวายเมื่อระบบโคฉิโคมิน (Kouchi-koumin : ระบบที่รัฐบาลกลางครอบครองที่ดินทั้งหมด และปันส่วนให้กับขุนนางและชาวนา โดยที่ชาวนาต้องเสียภาษีที่ดิน) เสื่อมลงเนื่องจากมีที่ดินที่ได้รับยกเว้นภาษี (Shoen) อยู่เป็นจำนวนมาก รวมถึงความยากจนไร้ที่อยู่อาศัยของชาวนา ในสมัยนี้ศาสนาพุทธได้รับการทำนุบำรุงอย่างดี ทำให้วัฒนธรรมหรือศิลปะทางพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก เริ่มจากวัฒนธรรมอะสุขะ (Asuka) ซึ่งเป็นวัฒนธรรมทางพุทธศาสนาอันดับแรกของญี่ปุ่นในต้นศตวรรษที่ 7 หรือวัฒนธรรมฮะคุโฮะ (Hakuhou) ในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 7 ที่แสดงให้เห็นความทุกข์ยากของมนุษย์ จนถึงวัฒนธรรมเท็มเปียว (Tenpyou) ในกลางศตวรรษที่ 8 ที่แสดงถึงความรู้สึกของมนุษย์ที่สมบูรณ์ตามที่เป็นจริง ซึ่งรับอิทธิพลทางวัฒนธรรมในยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของราชวงศ์ถัง
• "มันโยชู" (Man'youshuu) คือ งานชิ้นเอกแห่งยุค ซึ่งเป็นการรวบรวมบทกวีของคนทุกระดับชั้นตั้งแต่สามัญชนจนถึงจักรพรรดิไว้ ประมาณ 4,500 บท โดยใช้เวลารวบรวมจนถึงกลางศตวรรษที่ 8 รวมเป็นเวลาถึง 400 ปี ใน "มันโยชู" ได้รับบรรยายความรู้สึกของการใช้ชีวิตอย่างสมถะของคนญี่ปุ่นในสมัยโบราณได้ อย่างตรงไปตรงมา และยังคงเป็นที่ประทับใจของคนญี่ปุ่นจำนวนมากในปัจจุบันนี้ นอกจากนี้ ยังมี "โคะจิขิ" (Kojiki) ซึ่งเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ฉบับเก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีอยู่ (ค.ศ.712) “นิฮงโชะขิ” (Nihonshoki) ซึ่งเป็นบันทึกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ตามลำดับเวลาฉบับเก่าแก่ที่สุด (ค.ศ.720) และหนังสือรวมบทกวี "ไคฟูโซ" (kaifuusou) ฉบับเก่าแก่ที่สุด (ค.ศ.751) ซึ่งเป็นครั้งแรกของการรวมบทกวีจีนของนักกวีญี่ปุ่น
• สมัยเฮอัน (Heian) (ค.ศ.794 - 1185) ในปลายศตวรรษที่ 8 มีการย้ายเมืองหลวงไปที่ เฮอันเ คียว (Heiankyou) หรือเมืองเกียวโตในปัจจุบัน และมีความพยายามจะนำระบบ ริทสึเรียว (Ritsuryou) กลับมาใช้แต่เนื่องจากระบบโคฉิโคมินเสื่อมลง ทำให้บ้านเมืองขาดแคลนเงินทอง จนไม่สามารถส่งทูตไปจีนได้อีกภายหลังจากที่ส่งไปครั้งสุดท้าย เมื่อปี ค.ศ.894 ซึ่งเป็นผลให้การรับวัฒนธรรมจากแผ่นดินใหญ่ยุติลงไปด้วย
• ตระกูลฟุจิวะระ (Fujiwara) เป็นตระกูลทหารที่มีอำนาจปกครองญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 10 - 11 และนำเอาระบบการจัดสรรปันส่วนที่ดิน โดยมีการยกเว้นภาษีที่ดินแก่คนบางกลุ่ม (Shoen) มาใช้ แต่การดูแลหัวเมืองในภูมิภาคที่อยู่ห่างไกลเป็นไปด้วยความยากลำบาก จึงเกิดการจราจลแยกตัวออกไปก่อตั้งตระกูลทหารขึ้นใน ตอนปลายศตวรรษที่ 11 ตระกูลฟุจิวะระถูกขัดขวางโดยฝ่ายอินเซ (Insei : จักรพรรดิผู้ที่ทรงสละราชบังลังก์แล้วแต่ยังทรงกุมอำนาจอยู่) ขณะที่ทหารเริ่มเข้ามามีบทบาทในการปกครองมากขึ้น
• วัฒนธรรมที่เป็นรูปแบบของญี่ปุ่นโดดเด่นมากในสมัยเฮอันในศตวรรษที่ 9 ญี่ปุ่นยังคงรับวัฒนธรรมของราชวงศ์ถังอยู่ พุทธศาสนานิกายมิเคียว (Mikkyou) กับการเขียนรูปประโยคแบบจีนแพร่หลายมาก พอเข้าสู่ศตวรรษที่ 10 หลังจากที่ญี่ปุ่นไม่ได้ติดต่อโดยตรงกับภาคพื้นทวีปแล้ว ได้เกิดวัฒนธรรมชนชั้นสูงที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะของญี่ปุ่นเอง วรรณกรรมที่เด่นในเวลานี้ อาทิ "โคะคินวะคะชู" (Kokinwakashuu) เป็นหนังสือรวมกวีนิพนธ์ญี่ปุ่นเล่มแรกตามพระราชโองการของจักรพรรดิ (ในต้นศตวรรษที่ 10) "เกนจิ โมะโนะงะตะริ" (Genji Monogatari) นวนิยายเรื่องยาวที่เก่าที่สุดในโลก (ประมาณต้นศตวรรษที่ 11) และ "มะคุระโนะ โชชิ" (Makura no Soshi) หนังสือข้างหมอน (ประมาณ ค.ศ. 1000) วรรณกรรมเหล่านี้เขียนด้วยตัวอักษร "คะนะ" (Kana) ซึ่งคนญี่ปุ่นคิดประดิษฐ์จากตัวอักษรคันจิ และสามารถใช้เขียนคำศัพท์ญี่ปุ่น เพื่อสื่อความรู้สึกของชาวญี่ปุ่นได้เป็นครั้งแรก อีกทั้งยังนำไปสู่โลกวรรณกรรมสตรีอีกด้วย
• ตั้งแต่ช่วงหลังศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมา พุทธศาสนานิกายโจโดะ (Joudo) ซึ่งมุ่งหวังความสุขในชาติหน้าเป็นที่นับถืออย่างแพร่หลายเช่นเดียวกับนิกาย มิคเคียว ที่หวังผลประโยชน์เฉพาะในชาตินี้ และเราจะเห็นถึงความมีเอกลักษณ์แบบญี่ปุ่นปรากฏอยู่ในวรรณกรรมกับงานศิลปะ เช่น สถาปัตยกรรม การเขียนภาพ การแกะสลัก เป็นต้น
2. ยุคกลาง (ศตวรรษที่ 12 - 16) เป็นยุคที่ชนชั้นปกครอง ราชวงศ์และเชื้อพระวงศ์หมดอำนาจลง การปกครองตกไปอยู่กับชนชั้นนักรบซึ่งเป็นผู้สร้างระบบศักดินาต่อไป
** สมัยคะมะคุระ เมื่อ มินะโมโตะ โนะ โยะริโตะโมะ ตั้งบะคุฟุ (Bakufu : ที่ว่าราชการรัฐบาลโชกุน) ขึ้นที่คะมะคุระในปลายศตวรรษที่ 12 การปกครองประเทศโดยชนชั้นทหารได้เริ่มมาแต่นั้นเรื่อยมาจนถึงประมาณ 150 ปี โดยช่วงเวลานี้รัฐบาลทหารซึ่งมีศูนย์กลางอำนาจอยู่ทางฝั่งตะวันออกของ ญี่ปุ่น ได้ทำการต่อสู้กับฝ่ายอำนาจเก่า คือ ราชวงศ์จักรพรรดิและเชื้อพระวงศ์ อันกุมอำนาจอยู่บริเวณภาคตะวันตกอยู่เนืองๆ และได้เริ่มวางรากฐานของระบบศักดินาในญี่ปุ่นขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนกะทั่งในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 13 กองทัพมองโกลได้รุกรานสู่ญี่ปุ่นโดยเข้าโจมตีภาคเหนือของเกาะคิวชู กองทัพทหารได้ทำการต่อสู้ป้องกันอย่างเข้มแข็ง ประกอบกับภัยธรรมชาติเป็นส่วนช่วยเหลือ ญี่ปุ่นจึงรอดพ้นจากอันตรายมาได้ แต่นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเสื่อมอำนาจในการควบคุมชนชั้นนักรบของรัฐบาล ทหาร
• ส่วนความเจริญทางด้านวัฒนธรรมนั้น วัฒนธรรมของชนชั้นนักรบได้ก่อกำเนิดขึ้นโดยมีวัฒนธรรมของชนชั้นปกครองเป็น รากฐาน แต่ยังคงเอกลักษณ์ของชนชั้นนักรบไว้ อันได้แก่ ความมีพลวัตร และการสะท้อน ความเป็นจริงอย่างเรียบง่าย ในด้านศาสนา พุทธศาสนาแบบคะมะคุระก็ได้กำเนิดขึ้นโดยพระเถระผู้มีชื่อเสียง อย่าง โฮเน็น (Hounen) ชินรัน (Shinran) และนิฉิเรน (Nichiren) เป็นต้น นักรบฝั่งที่ราบคันโตจะนับถือศาสนาเซนอันได้รับการถ่ายทอดจากจีนแผ่นดินซ้อง ในศตวรรษที่ 12 เป็นหลัก รูปแบบศิลปะใหม่ๆ ก็เกิดขึ้นในยุคนี้ อย่างเช่น ปฏิมากรรมสมัยคะมะคุระตอนต้นนั้น จะมีลายเส้นที่หนักแน่นมีพลังเหมือนของจริง และแสดงออกถึงความเป็นมนุษย์ วรรณศิลป์ส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งที่ชนชั้นนักรบนิยม เช่น "เฮเคะ โมะโนะงะตะริ" (Heike Monogatari) ซึ่งแต่งขึ้นเมื่อต้นศตวรรษที่ 13 เป็นผลงานที่ดีที่สุดในจำนวนนิยายเกี่ยวกับการสู้รบ และก็ยังมีหนังสือรวบรวมบทเรียงความเรื่อง "โฮโจขิ" (Houjouki) ซึ่งแต่งในศตวรรษที่ 13 และ "ทสึเระซุเระงุสะ" (Tsurezuregusa) ซึ่งแต่งในศตวรรษที่ 14
สมัยราชวงศ์เหนือใต้ แม้ว่าจักรพรรดิโกะไดโกะ (Godaigo) จะเป็นผู้โค่นล้มรัฐบาลโชกุนคะมะคุระได้ก็ตามที แต่ก็ได้แตกหักกับแม่ทัพของตน คือ อะชิคะงะทะคะอุจิ (Ashikaga Takauji) ซึ่งเป็นต้นเหตุของการแยกราชบัลลังก์ออกเป็นราชวงศ์เหนือที่เกียวโต และราชวงศ์ใต้ ที่โยะชิโนะ (Yoshino) (ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดนะระ) ซึ่งเป็นสาเหตุให้นักรบเชื้อพระวงศ์ที่ฝักใฝ่อยู่กับแต่ละฝ่ายรบพุ่งกันมา ตลอด ก่อให้เกิดการอพยพย้ายถิ่นฐานของประชาชนเพื่อหนีภัยสงคราม จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้วัฒนธรรมท้องถิ่นอันแตกต่างกันระหว่างญี่ปุ่น ตะวันออกและญี่ปุ่นตะวันตกหลอมรวมเข้ากันเป็นหนึ่งเดียว
สมัยมุโระมะฉิ ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 14 อะชิคะงะ โยะชิมิทสึ ได้ปราบปรามชนชั้นปกครองลงอย่างราบคาบ และตั้งรัฐบาลโชกุนขึ้นอีกครั้งที่เกียวโต ซึ่งรัฐบาลโชกุนนี้ได้ปกครองญี่ปุ่นต่อมาเป็นเวลานานถึงสองศตวรรษเศษอันเป็น ช่วงเวลาที่วัฒนธรรมของชนชั้นนักรบก็ได้กลืนวัฒนธรรมของชนชั้นปกครองลงอย่าง ราบคาบเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามรัฐบาลโชกุนของตระกูลอะชิคะงะ เกิดจากการรวมตัวของขุนศึกสำคัญๆ ตามหัวเมืองต่างๆ เข้าด้วยกัน จึงเป็นธรรมดาที่การรวบอำนาจให้รัฐบาลมีเสถียรภาพนั้นเป็นไปได้อย่างลำบาก ดังนั้นในครึ่งหลังศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา ขุนศึกตามหัวเมืองต่างๆ จึงเริ่มทำสงครามแย่งชิงอำนาจกัน จนทั้งประเทศญี่ปุ่นตกเข้าสู่ยุคสงคราม ภายในยุคนี้เป็นยุคที่ชนชั้นนักรบมีอำนาจเหนือเกษตรกรและมีกรรมสิทธิเหนือ ที่ดินจึงเป็นการปกครองระบบศักดินาโดยสมบูรณ์ ด้านเศรษฐกิจก็เจริญรุ่งเรืองมาก เนื่องจากทำการค้ากับจีนสมัยหมิง
• ด้านวัฒนธรรม ลัทธิเซนเป็นส่วนเพิ่มเติมให้กับวัฒนธรรมของชนชั้นปกครองและชนชั้นนักรบ ซึ่งเห็นรูปแบบได้จากตำหนักทอง (Kinkaku) ในปลายศตวรรษที่ 14 อันเป็นตัวแทนของวัฒนธรรมคิตะยะมะ (Kitayama) และตำหนักเงิน (Ginkaku) ในปลายศตวรรษที่ 15 อันเป็นตัวแทนของวัฒนธรรมฮิงะชิยะมะ (Higashiyama) การละคร อย่างเช่น โน เคียวเง็น และการต่อเพลง ก็เริ่มแพร่หลายสู่ประชาชนภายนอก ศิลปะวัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่น อย่างเช่น พิธีชงชา การจัดดอกไม้ ก็เริ่มมีรากฐานมาจากยุคนี้ และในช่วงกลางศตวรรษที่ 16 พวกฝรั่ง เช่น ชาติโปรตุเกส และสเปนก็ได้นำอาวุธปืนยาวและศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแพร่ที่ญี่ปุ่น
3. สมัยกลางใหม่ (ศตวรรษที่ 16 - กลางศตวรรษที่ 19) เป็นยุคที่โชกุนและไดเมียว มีอำนาจปกครองสิทธิขาดเหนือที่ดินและประชาชน อันเรียกว่า การปกครองแบบ บะคุฮัง (Bakuhan) ซึ่งระบบนี้พึ่งพาเศรษฐกิจอันมาจากผลผลิตทางการเกษตร
สมัยอะชุฉิ - โมะโมะยะมะ เป็นยุคที่โชกุนชื่อ โอะดะ โนะบุนะงะ (Oda Nobunaga) และโทะโยะโทะมิ ฮิเดะโยะชิ (Toyotomi Hideyoshi) ได้ปราบปรามไดเมียวหัวเมืองต่างๆ และรวมศูนย์กลางอำนาจไว้ได้แต่เพียงผู้เดียว ความสงบภายในประเทศประกอบกับการติดต่อกับต่างประเทศที่มากขึ้น ทำให้เกิดวัฒนธรรมอันหรูหรา อย่างเช่น วัฒนธรรมโมะโมะยะมะ (Momoyama)
สมัยเอะโดะ โทะคุงะวะ อิเอะยะสุ (Tokugawa Ieyasu) ได้รวบอำนาจและตั้งรัฐบาลโชกุนขึ้นที่เอะโดะ (ปัจจุบันคือโตเกียว) ใน ค.ศ.1603 และหลังจากนั้นอีก 260 ปี การปกครองทั้งหลายก็ตกอยู่ในอำนาจของตระกูลโทะคุงะวะ รัฐบาลโทะคุงะวะได้ลิดรอนอำนาจจากจักรพรรดิ เชื้อพระวงศ์ และพระสงฆ์จนหมดสิ้น และปกครองเกษตรกรไปทีละเล็กละน้อย เมื่อเกษตรกรอันเป็นฐานอำนาจของรัฐบาลโทะคุงะวะยากจนลงจนเดือดร้อน การปกครองของตระกูลโทะคุงะวะก็เริ่มสั่นคลอนลงตั้งแต่เข้าศตวรรษที่ 19
• ยุคนี้เป็นยุคที่วัฒนธรรมของราษฎรสามัญเจริญจนถึงที่สุด ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 17 จนถึงต้นศตวรรษที่ 18 เป็นยุคของวัฒนธรรมเก็นโระขุ (Genroku) ซึ่งเป็นของนักรบผสมกับราษฎรสามัญ มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองใหญ่ ๆ อย่างเกียวโต โอซาก้า เอกลักษณ์คือละครหุ่น ละครคะบุขิและหัตถกรรมต่างๆ มีศิลปินกำเนิดจากราษฎรสามัญมากมาย เช่น นักเขียน อย่าง อิฮะระ ไชคะขุ (Ihara Saikaku) นักกลอนไฮขุ อย่าง มะทสึโอะ บะโช (Matsuo Bashou) นักแต่งบทละครหุ่น ละครคะบิขุ อย่าง ชิคะมะทสึ มงซะเอะมง (Chikamatsu Monzaemon) จนเมื่อศตวรรษที่ 19 ศูนย์กลางของวัฒนธรรมได้ย้ายไปอยู่เอะโดะ เป็นยุคของวัฒนธรรม คะเซ (Kasei) ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของชนชาวเมือง อันได้แก่ นวนิยาย ละครคะบุขิ ภาพอุคิโยะ บุงจิง - งะ เป็นต้น
• การศึกษาและวิชาการก็เจริญรุ่งเรือง ชนชั้นนักรบเล่าเรียนปรัชญาของขงจื๊อและหลักคำสอน จูจื่อ (Chu H si) ซึ่งเป็นปรัชญาพื้นฐานที่ค้ำจุนการปกครองของรัฐบาลโทะคุงะวะ การศึกษาเกี่ยวกับญี่ปุ่นและดัตช์ (ฮอลันดา) เจริญรุ่งเรืองตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา มีการเปิดโรงเรียนตามหัวเมืองต่างๆ เพื่อลูกหลานของชนชั้นนักรบ ราษฎรสามัญเองก็นิยมส่งลูกหลานไปศึกษาวิชาต่างๆ ที่วัด (terakoya)
4. สมัยใหม่ - สมัยปัจจุบัน (กลางศตวรรษที่ 19 - ปัจจุบัน) ญี่ปุ่นใช้เวลาหลังจากเปิดประเทศเมื่อกลางศตวรรษที่ 19 เพียงครึ่งศตวรรษ ก็เข้าสู่ความเจริญเทียบเท่าตะวันตก
สมัยเมจิ เพื่อพัฒนาประเทศให้เท่าเทียมกับอารยประเทศทางตะวันตก รัฐบาลได้กำหนดนโยบายหลักไว้ 3 ประการ คือ ร่ำรวยเข้มแข็ง สร้างเสริมอุตสาหกรรม อารยธรรมทันสมัยใหม่ และได้ปฏิบัติตามนโยบายเหล่านี้ เช่น การบัญญัติรัฐธรรมนูญ การจัดตั้งรัฐสภา การแก้สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม การที่ญี่ปุ่นชนะสงครามกับจีนราชวงศ์แมนจู และรัสเซีย นั้นทำให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมภายในประเทศ ระบบทุนนิยมเติบโตขึ้นจนเริ่มเป็นที่จับตามองบนเวทีระหว่างประเทศ วัฒนธรรมสมัยเมจินั้นเป็นวัฒนธรรมที่หลอมรวมวัฒนธรรมพื้นเมืองของญี่ปุ่นกับ วัฒนธรรมตะวันตกซึ่งขัดกันให้เข้ากันไป
สมัยเทโช - โชวะ ญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นยุคที่ประชาธิปไตยเริ่มเบ่งบาน ภายใต้กระแสของลัทธิจักรวรรดินิยมหรือชาตินิยม ด้วยความแรงของกระแสหลังได้ผลักดันให้ญี่ปุ่นเข้าสู่สงครามเป็นเวลา 15 ปี นับตั้งแต่ตอนต้นของสมัยโชวะหรือตั้งแต่ทศวรรษที่ 1930 หลังจากการพ่ายในสงครามภาคพื้นแปซิฟิกและเป็นประเทศเดียวที่ถูกทิ้งปรมาณู ญี่ปุ่นได้มุ่งพัฒนาให้เป็นประเทศที่มีอิสระและสันติภาพ
ที่มา : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=pongpinyo&month=02-2008&date=10&group=6&gblog=2
ประวัติศาสตร์ แบ่งออกเป็น 2 ยุค 2 สมัย คือ
1. ยุคก่อนประวัติศาสตร์
2. ยุคกลาง
3. สมัยกลางใหม่
4. สมัยใหม่ - ปัจจุบัน
1. ยุคก่อนประวัติศาสตร์ และยุคโบราณ (8,000 ปีก่อนคริสตกาล - ศตวรรษที่ 11) ยุคนี้เริ่มจากการรวบรวมชนเผ่าเล็กๆ ขึ้นมาเป็นจักรวรรดิ และปกครองโดยใช้ระบบของจีนที่เรียกว่า ริทสึเรียว (ritsuryou : การใช้กฎหมายและหลักจริยธรรมตามแบบราชวงศ์สุยกับราชวงศ์ถัง) แต่เกิดมีความขัดแย้งขึ้นมาจนลุกลามออกไป หัวเมืองที่อยู่ห่างไกลแยกตัวจากรัฐบาลกลาง และก่อตั้งเป็นกลุ่มทหารกลุ่มต่างๆ
สมัยโจมน (Joumon) (8,000 - 300 ปีก่อนคริสต์กาล) ที่หมู่เกาะญี่ปุ่นมีผู้คนอาศัยมาตั้งแต่สมัยยุคหินเก่า แต่ก็เชื่อกันว่าชนชาติญี่ปุ่น และต้นกำเนิดของภาษาญี่ปุ่นได้เกิดขึ้นมาในสมัยโจมน คือ เมื่อประมาณหนึ่งหมื่นปีก่อนจนถึง 300 ปีก่อนคริสตกาล กล่าวกันว่า ผู้คนในยุคนั้นจะขุดหลุมเป็นบ้าน และอาศัยอยู่กันหลังละเกือบสิบคน ยังชีพโดยการล่าสัตว์ จับปลาหาอาหาร อีกทั้งไม่มีความจนความรวยความเหลื่อมล้ำในสังคมยุคนี้ อย่างไรก็ตามการขุดพบซากหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่ ซันไน มะรุยะมะ (Sannai Maruyama) ในจังหวัดอะโอะโมะริ (Aomori) ได้ทำให้ผู้คนหันมาสนใจในแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ใหม่
สมัยยะโยะอิ (Yaoi) (300 ปีก่อนคริสตกาล - ค.ศ.300) เมื่อประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล การปลูกข้าวกับวิทยาการการใช้เครื่องใช้โลหะได้ถูกนำเข้ามาทางตอนเหนือของ คิวชู โดยผ่านคาบสมุทรเกาหลี สิ่งเหล่านี้นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสังคม เช่น การเพิ่มผลผลิต ความแตกต่างความรวยความจน การแบ่งชนชั้น การปรับกลุ่มชาวนาให้เป็นกลุ่มนักปกครอง เป็นต้น ความเชื่อระเบียบแบบแผนธรรมเนียมปฏิบัติของชาวนาแพร่หลายออกไป จนกลายเป็นต้นแบบทางวัฒนธรรมญี่ปุ่นสืบไป วัฒนธรรมสมัยยะโยะอิมีความรุ่งเรืองต่อเนื่องจนถึงราวๆ ปี ค.ศ.300 และในช่วงปลายก็ได้แพร่ขยายจนถึงภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่นด้วย
สมัยสุสานโบราณ (Kofun) (ค.ศ.300 - 700) เมื่อประมาณกลางศตวรรษที่ 4 ชนเผ่าอิสระกลุ่มต่างๆ ได้ถูกรวบรวมโดยชนเผ่า ยะมะโตะ (Yamato) ขณะเดียวกันสุสานที่มีลักษณะพิเศษเป็นรูปกุญแจก็ถูกสร้างขึ้นทั่วไป ความรู้ และวิทยาการต่างๆ จากจีนได้หลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมากในสมัยนี้ ในศตวรรษที่ 4 ชนเผ่ายะมะโตะได้ขึ้นไปคาบสมุทรเกาหลี และรับเอาวัฒนธรรมการผลิตเครื่องใช้ของภาคพื้นทวีปมา ต่อมาในสมัยศตวรรษที่ 5 ชาวเกาหลีได้นำวิทยาการต่างๆ เข้ามา เช่น การผลิตเครื่องโลหะ เครื่องปั้นดินเผา การทอผ้า การถลุงเหล็ก และวิศวกรรมโยธา รวมทั้งมีการเริ่มใช้อักษรคันจิซึ่งเป็นตัวอักษรของจีนด้วย และเมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 6 ลัทธิขงจื้อ กับศาสนาพุทธก็ได้แพร่หลายเข้ามาในญี่ปุ่นเช่นกัน ในศตวรรษที่ 7 เจ้าชายโชะโทะคุ (Shoutoku) จัดวางระบบการปกครองโดยรวมอำนาจไว้ที่จักรพรรดิตามแบบราชวงศ์สุยกับราชวงศ์ ถังของจีนได้สำเร็จเมื่อครั้งปฏิรูปการปกครองไทขะ (Taika) และมีการส่งทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีจนถึงปลายศตวรรษที่ 9 ถึงสิบกว่าครั้ง
สมัยนะระ (Nara) (ค.ศ.710 - 794) เมื่อปี ค.ศ.710 ขณะที่บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองด้วยหลักกฎหมาย และจริยธรรม (ritsuryou) ก็ได้ย้ายเมืองหลวงมาที่เฮโจเคียว (Heijoukyou) หรือเมืองนะระและบริเวณใกล้เคียงในปัจจุบัน แต่ในเวลาต่อมาก็เริ่มเกิดความวุ่นวายเมื่อระบบโคฉิโคมิน (Kouchi-koumin : ระบบที่รัฐบาลกลางครอบครองที่ดินทั้งหมด และปันส่วนให้กับขุนนางและชาวนา โดยที่ชาวนาต้องเสียภาษีที่ดิน) เสื่อมลงเนื่องจากมีที่ดินที่ได้รับยกเว้นภาษี (Shoen) อยู่เป็นจำนวนมาก รวมถึงความยากจนไร้ที่อยู่อาศัยของชาวนา ในสมัยนี้ศาสนาพุทธได้รับการทำนุบำรุงอย่างดี ทำให้วัฒนธรรมหรือศิลปะทางพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก เริ่มจากวัฒนธรรมอะสุขะ (Asuka) ซึ่งเป็นวัฒนธรรมทางพุทธศาสนาอันดับแรกของญี่ปุ่นในต้นศตวรรษที่ 7 หรือวัฒนธรรมฮะคุโฮะ (Hakuhou) ในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 7 ที่แสดงให้เห็นความทุกข์ยากของมนุษย์ จนถึงวัฒนธรรมเท็มเปียว (Tenpyou) ในกลางศตวรรษที่ 8 ที่แสดงถึงความรู้สึกของมนุษย์ที่สมบูรณ์ตามที่เป็นจริง ซึ่งรับอิทธิพลทางวัฒนธรรมในยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของราชวงศ์ถัง
• "มันโยชู" (Man'youshuu) คือ งานชิ้นเอกแห่งยุค ซึ่งเป็นการรวบรวมบทกวีของคนทุกระดับชั้นตั้งแต่สามัญชนจนถึงจักรพรรดิไว้ ประมาณ 4,500 บท โดยใช้เวลารวบรวมจนถึงกลางศตวรรษที่ 8 รวมเป็นเวลาถึง 400 ปี ใน "มันโยชู" ได้รับบรรยายความรู้สึกของการใช้ชีวิตอย่างสมถะของคนญี่ปุ่นในสมัยโบราณได้ อย่างตรงไปตรงมา และยังคงเป็นที่ประทับใจของคนญี่ปุ่นจำนวนมากในปัจจุบันนี้ นอกจากนี้ ยังมี "โคะจิขิ" (Kojiki) ซึ่งเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ฉบับเก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีอยู่ (ค.ศ.712) “นิฮงโชะขิ” (Nihonshoki) ซึ่งเป็นบันทึกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ตามลำดับเวลาฉบับเก่าแก่ที่สุด (ค.ศ.720) และหนังสือรวมบทกวี "ไคฟูโซ" (kaifuusou) ฉบับเก่าแก่ที่สุด (ค.ศ.751) ซึ่งเป็นครั้งแรกของการรวมบทกวีจีนของนักกวีญี่ปุ่น
• สมัยเฮอัน (Heian) (ค.ศ.794 - 1185) ในปลายศตวรรษที่ 8 มีการย้ายเมืองหลวงไปที่ เฮอันเ คียว (Heiankyou) หรือเมืองเกียวโตในปัจจุบัน และมีความพยายามจะนำระบบ ริทสึเรียว (Ritsuryou) กลับมาใช้แต่เนื่องจากระบบโคฉิโคมินเสื่อมลง ทำให้บ้านเมืองขาดแคลนเงินทอง จนไม่สามารถส่งทูตไปจีนได้อีกภายหลังจากที่ส่งไปครั้งสุดท้าย เมื่อปี ค.ศ.894 ซึ่งเป็นผลให้การรับวัฒนธรรมจากแผ่นดินใหญ่ยุติลงไปด้วย
• ตระกูลฟุจิวะระ (Fujiwara) เป็นตระกูลทหารที่มีอำนาจปกครองญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 10 - 11 และนำเอาระบบการจัดสรรปันส่วนที่ดิน โดยมีการยกเว้นภาษีที่ดินแก่คนบางกลุ่ม (Shoen) มาใช้ แต่การดูแลหัวเมืองในภูมิภาคที่อยู่ห่างไกลเป็นไปด้วยความยากลำบาก จึงเกิดการจราจลแยกตัวออกไปก่อตั้งตระกูลทหารขึ้นใน ตอนปลายศตวรรษที่ 11 ตระกูลฟุจิวะระถูกขัดขวางโดยฝ่ายอินเซ (Insei : จักรพรรดิผู้ที่ทรงสละราชบังลังก์แล้วแต่ยังทรงกุมอำนาจอยู่) ขณะที่ทหารเริ่มเข้ามามีบทบาทในการปกครองมากขึ้น
• วัฒนธรรมที่เป็นรูปแบบของญี่ปุ่นโดดเด่นมากในสมัยเฮอันในศตวรรษที่ 9 ญี่ปุ่นยังคงรับวัฒนธรรมของราชวงศ์ถังอยู่ พุทธศาสนานิกายมิเคียว (Mikkyou) กับการเขียนรูปประโยคแบบจีนแพร่หลายมาก พอเข้าสู่ศตวรรษที่ 10 หลังจากที่ญี่ปุ่นไม่ได้ติดต่อโดยตรงกับภาคพื้นทวีปแล้ว ได้เกิดวัฒนธรรมชนชั้นสูงที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะของญี่ปุ่นเอง วรรณกรรมที่เด่นในเวลานี้ อาทิ "โคะคินวะคะชู" (Kokinwakashuu) เป็นหนังสือรวมกวีนิพนธ์ญี่ปุ่นเล่มแรกตามพระราชโองการของจักรพรรดิ (ในต้นศตวรรษที่ 10) "เกนจิ โมะโนะงะตะริ" (Genji Monogatari) นวนิยายเรื่องยาวที่เก่าที่สุดในโลก (ประมาณต้นศตวรรษที่ 11) และ "มะคุระโนะ โชชิ" (Makura no Soshi) หนังสือข้างหมอน (ประมาณ ค.ศ. 1000) วรรณกรรมเหล่านี้เขียนด้วยตัวอักษร "คะนะ" (Kana) ซึ่งคนญี่ปุ่นคิดประดิษฐ์จากตัวอักษรคันจิ และสามารถใช้เขียนคำศัพท์ญี่ปุ่น เพื่อสื่อความรู้สึกของชาวญี่ปุ่นได้เป็นครั้งแรก อีกทั้งยังนำไปสู่โลกวรรณกรรมสตรีอีกด้วย
• ตั้งแต่ช่วงหลังศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมา พุทธศาสนานิกายโจโดะ (Joudo) ซึ่งมุ่งหวังความสุขในชาติหน้าเป็นที่นับถืออย่างแพร่หลายเช่นเดียวกับนิกาย มิคเคียว ที่หวังผลประโยชน์เฉพาะในชาตินี้ และเราจะเห็นถึงความมีเอกลักษณ์แบบญี่ปุ่นปรากฏอยู่ในวรรณกรรมกับงานศิลปะ เช่น สถาปัตยกรรม การเขียนภาพ การแกะสลัก เป็นต้น
2. ยุคกลาง (ศตวรรษที่ 12 - 16) เป็นยุคที่ชนชั้นปกครอง ราชวงศ์และเชื้อพระวงศ์หมดอำนาจลง การปกครองตกไปอยู่กับชนชั้นนักรบซึ่งเป็นผู้สร้างระบบศักดินาต่อไป
** สมัยคะมะคุระ เมื่อ มินะโมโตะ โนะ โยะริโตะโมะ ตั้งบะคุฟุ (Bakufu : ที่ว่าราชการรัฐบาลโชกุน) ขึ้นที่คะมะคุระในปลายศตวรรษที่ 12 การปกครองประเทศโดยชนชั้นทหารได้เริ่มมาแต่นั้นเรื่อยมาจนถึงประมาณ 150 ปี โดยช่วงเวลานี้รัฐบาลทหารซึ่งมีศูนย์กลางอำนาจอยู่ทางฝั่งตะวันออกของ ญี่ปุ่น ได้ทำการต่อสู้กับฝ่ายอำนาจเก่า คือ ราชวงศ์จักรพรรดิและเชื้อพระวงศ์ อันกุมอำนาจอยู่บริเวณภาคตะวันตกอยู่เนืองๆ และได้เริ่มวางรากฐานของระบบศักดินาในญี่ปุ่นขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนกะทั่งในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 13 กองทัพมองโกลได้รุกรานสู่ญี่ปุ่นโดยเข้าโจมตีภาคเหนือของเกาะคิวชู กองทัพทหารได้ทำการต่อสู้ป้องกันอย่างเข้มแข็ง ประกอบกับภัยธรรมชาติเป็นส่วนช่วยเหลือ ญี่ปุ่นจึงรอดพ้นจากอันตรายมาได้ แต่นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเสื่อมอำนาจในการควบคุมชนชั้นนักรบของรัฐบาล ทหาร
• ส่วนความเจริญทางด้านวัฒนธรรมนั้น วัฒนธรรมของชนชั้นนักรบได้ก่อกำเนิดขึ้นโดยมีวัฒนธรรมของชนชั้นปกครองเป็น รากฐาน แต่ยังคงเอกลักษณ์ของชนชั้นนักรบไว้ อันได้แก่ ความมีพลวัตร และการสะท้อน ความเป็นจริงอย่างเรียบง่าย ในด้านศาสนา พุทธศาสนาแบบคะมะคุระก็ได้กำเนิดขึ้นโดยพระเถระผู้มีชื่อเสียง อย่าง โฮเน็น (Hounen) ชินรัน (Shinran) และนิฉิเรน (Nichiren) เป็นต้น นักรบฝั่งที่ราบคันโตจะนับถือศาสนาเซนอันได้รับการถ่ายทอดจากจีนแผ่นดินซ้อง ในศตวรรษที่ 12 เป็นหลัก รูปแบบศิลปะใหม่ๆ ก็เกิดขึ้นในยุคนี้ อย่างเช่น ปฏิมากรรมสมัยคะมะคุระตอนต้นนั้น จะมีลายเส้นที่หนักแน่นมีพลังเหมือนของจริง และแสดงออกถึงความเป็นมนุษย์ วรรณศิลป์ส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งที่ชนชั้นนักรบนิยม เช่น "เฮเคะ โมะโนะงะตะริ" (Heike Monogatari) ซึ่งแต่งขึ้นเมื่อต้นศตวรรษที่ 13 เป็นผลงานที่ดีที่สุดในจำนวนนิยายเกี่ยวกับการสู้รบ และก็ยังมีหนังสือรวบรวมบทเรียงความเรื่อง "โฮโจขิ" (Houjouki) ซึ่งแต่งในศตวรรษที่ 13 และ "ทสึเระซุเระงุสะ" (Tsurezuregusa) ซึ่งแต่งในศตวรรษที่ 14
สมัยราชวงศ์เหนือใต้ แม้ว่าจักรพรรดิโกะไดโกะ (Godaigo) จะเป็นผู้โค่นล้มรัฐบาลโชกุนคะมะคุระได้ก็ตามที แต่ก็ได้แตกหักกับแม่ทัพของตน คือ อะชิคะงะทะคะอุจิ (Ashikaga Takauji) ซึ่งเป็นต้นเหตุของการแยกราชบัลลังก์ออกเป็นราชวงศ์เหนือที่เกียวโต และราชวงศ์ใต้ ที่โยะชิโนะ (Yoshino) (ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดนะระ) ซึ่งเป็นสาเหตุให้นักรบเชื้อพระวงศ์ที่ฝักใฝ่อยู่กับแต่ละฝ่ายรบพุ่งกันมา ตลอด ก่อให้เกิดการอพยพย้ายถิ่นฐานของประชาชนเพื่อหนีภัยสงคราม จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้วัฒนธรรมท้องถิ่นอันแตกต่างกันระหว่างญี่ปุ่น ตะวันออกและญี่ปุ่นตะวันตกหลอมรวมเข้ากันเป็นหนึ่งเดียว
สมัยมุโระมะฉิ ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 14 อะชิคะงะ โยะชิมิทสึ ได้ปราบปรามชนชั้นปกครองลงอย่างราบคาบ และตั้งรัฐบาลโชกุนขึ้นอีกครั้งที่เกียวโต ซึ่งรัฐบาลโชกุนนี้ได้ปกครองญี่ปุ่นต่อมาเป็นเวลานานถึงสองศตวรรษเศษอันเป็น ช่วงเวลาที่วัฒนธรรมของชนชั้นนักรบก็ได้กลืนวัฒนธรรมของชนชั้นปกครองลงอย่าง ราบคาบเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามรัฐบาลโชกุนของตระกูลอะชิคะงะ เกิดจากการรวมตัวของขุนศึกสำคัญๆ ตามหัวเมืองต่างๆ เข้าด้วยกัน จึงเป็นธรรมดาที่การรวบอำนาจให้รัฐบาลมีเสถียรภาพนั้นเป็นไปได้อย่างลำบาก ดังนั้นในครึ่งหลังศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา ขุนศึกตามหัวเมืองต่างๆ จึงเริ่มทำสงครามแย่งชิงอำนาจกัน จนทั้งประเทศญี่ปุ่นตกเข้าสู่ยุคสงคราม ภายในยุคนี้เป็นยุคที่ชนชั้นนักรบมีอำนาจเหนือเกษตรกรและมีกรรมสิทธิเหนือ ที่ดินจึงเป็นการปกครองระบบศักดินาโดยสมบูรณ์ ด้านเศรษฐกิจก็เจริญรุ่งเรืองมาก เนื่องจากทำการค้ากับจีนสมัยหมิง
• ด้านวัฒนธรรม ลัทธิเซนเป็นส่วนเพิ่มเติมให้กับวัฒนธรรมของชนชั้นปกครองและชนชั้นนักรบ ซึ่งเห็นรูปแบบได้จากตำหนักทอง (Kinkaku) ในปลายศตวรรษที่ 14 อันเป็นตัวแทนของวัฒนธรรมคิตะยะมะ (Kitayama) และตำหนักเงิน (Ginkaku) ในปลายศตวรรษที่ 15 อันเป็นตัวแทนของวัฒนธรรมฮิงะชิยะมะ (Higashiyama) การละคร อย่างเช่น โน เคียวเง็น และการต่อเพลง ก็เริ่มแพร่หลายสู่ประชาชนภายนอก ศิลปะวัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่น อย่างเช่น พิธีชงชา การจัดดอกไม้ ก็เริ่มมีรากฐานมาจากยุคนี้ และในช่วงกลางศตวรรษที่ 16 พวกฝรั่ง เช่น ชาติโปรตุเกส และสเปนก็ได้นำอาวุธปืนยาวและศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแพร่ที่ญี่ปุ่น
3. สมัยกลางใหม่ (ศตวรรษที่ 16 - กลางศตวรรษที่ 19) เป็นยุคที่โชกุนและไดเมียว มีอำนาจปกครองสิทธิขาดเหนือที่ดินและประชาชน อันเรียกว่า การปกครองแบบ บะคุฮัง (Bakuhan) ซึ่งระบบนี้พึ่งพาเศรษฐกิจอันมาจากผลผลิตทางการเกษตร
สมัยอะชุฉิ - โมะโมะยะมะ เป็นยุคที่โชกุนชื่อ โอะดะ โนะบุนะงะ (Oda Nobunaga) และโทะโยะโทะมิ ฮิเดะโยะชิ (Toyotomi Hideyoshi) ได้ปราบปรามไดเมียวหัวเมืองต่างๆ และรวมศูนย์กลางอำนาจไว้ได้แต่เพียงผู้เดียว ความสงบภายในประเทศประกอบกับการติดต่อกับต่างประเทศที่มากขึ้น ทำให้เกิดวัฒนธรรมอันหรูหรา อย่างเช่น วัฒนธรรมโมะโมะยะมะ (Momoyama)
สมัยเอะโดะ โทะคุงะวะ อิเอะยะสุ (Tokugawa Ieyasu) ได้รวบอำนาจและตั้งรัฐบาลโชกุนขึ้นที่เอะโดะ (ปัจจุบันคือโตเกียว) ใน ค.ศ.1603 และหลังจากนั้นอีก 260 ปี การปกครองทั้งหลายก็ตกอยู่ในอำนาจของตระกูลโทะคุงะวะ รัฐบาลโทะคุงะวะได้ลิดรอนอำนาจจากจักรพรรดิ เชื้อพระวงศ์ และพระสงฆ์จนหมดสิ้น และปกครองเกษตรกรไปทีละเล็กละน้อย เมื่อเกษตรกรอันเป็นฐานอำนาจของรัฐบาลโทะคุงะวะยากจนลงจนเดือดร้อน การปกครองของตระกูลโทะคุงะวะก็เริ่มสั่นคลอนลงตั้งแต่เข้าศตวรรษที่ 19
• ยุคนี้เป็นยุคที่วัฒนธรรมของราษฎรสามัญเจริญจนถึงที่สุด ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 17 จนถึงต้นศตวรรษที่ 18 เป็นยุคของวัฒนธรรมเก็นโระขุ (Genroku) ซึ่งเป็นของนักรบผสมกับราษฎรสามัญ มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองใหญ่ ๆ อย่างเกียวโต โอซาก้า เอกลักษณ์คือละครหุ่น ละครคะบุขิและหัตถกรรมต่างๆ มีศิลปินกำเนิดจากราษฎรสามัญมากมาย เช่น นักเขียน อย่าง อิฮะระ ไชคะขุ (Ihara Saikaku) นักกลอนไฮขุ อย่าง มะทสึโอะ บะโช (Matsuo Bashou) นักแต่งบทละครหุ่น ละครคะบิขุ อย่าง ชิคะมะทสึ มงซะเอะมง (Chikamatsu Monzaemon) จนเมื่อศตวรรษที่ 19 ศูนย์กลางของวัฒนธรรมได้ย้ายไปอยู่เอะโดะ เป็นยุคของวัฒนธรรม คะเซ (Kasei) ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของชนชาวเมือง อันได้แก่ นวนิยาย ละครคะบุขิ ภาพอุคิโยะ บุงจิง - งะ เป็นต้น
• การศึกษาและวิชาการก็เจริญรุ่งเรือง ชนชั้นนักรบเล่าเรียนปรัชญาของขงจื๊อและหลักคำสอน จูจื่อ (Chu H si) ซึ่งเป็นปรัชญาพื้นฐานที่ค้ำจุนการปกครองของรัฐบาลโทะคุงะวะ การศึกษาเกี่ยวกับญี่ปุ่นและดัตช์ (ฮอลันดา) เจริญรุ่งเรืองตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา มีการเปิดโรงเรียนตามหัวเมืองต่างๆ เพื่อลูกหลานของชนชั้นนักรบ ราษฎรสามัญเองก็นิยมส่งลูกหลานไปศึกษาวิชาต่างๆ ที่วัด (terakoya)
4. สมัยใหม่ - สมัยปัจจุบัน (กลางศตวรรษที่ 19 - ปัจจุบัน) ญี่ปุ่นใช้เวลาหลังจากเปิดประเทศเมื่อกลางศตวรรษที่ 19 เพียงครึ่งศตวรรษ ก็เข้าสู่ความเจริญเทียบเท่าตะวันตก
สมัยเมจิ เพื่อพัฒนาประเทศให้เท่าเทียมกับอารยประเทศทางตะวันตก รัฐบาลได้กำหนดนโยบายหลักไว้ 3 ประการ คือ ร่ำรวยเข้มแข็ง สร้างเสริมอุตสาหกรรม อารยธรรมทันสมัยใหม่ และได้ปฏิบัติตามนโยบายเหล่านี้ เช่น การบัญญัติรัฐธรรมนูญ การจัดตั้งรัฐสภา การแก้สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม การที่ญี่ปุ่นชนะสงครามกับจีนราชวงศ์แมนจู และรัสเซีย นั้นทำให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมภายในประเทศ ระบบทุนนิยมเติบโตขึ้นจนเริ่มเป็นที่จับตามองบนเวทีระหว่างประเทศ วัฒนธรรมสมัยเมจินั้นเป็นวัฒนธรรมที่หลอมรวมวัฒนธรรมพื้นเมืองของญี่ปุ่นกับ วัฒนธรรมตะวันตกซึ่งขัดกันให้เข้ากันไป
สมัยเทโช - โชวะ ญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นยุคที่ประชาธิปไตยเริ่มเบ่งบาน ภายใต้กระแสของลัทธิจักรวรรดินิยมหรือชาตินิยม ด้วยความแรงของกระแสหลังได้ผลักดันให้ญี่ปุ่นเข้าสู่สงครามเป็นเวลา 15 ปี นับตั้งแต่ตอนต้นของสมัยโชวะหรือตั้งแต่ทศวรรษที่ 1930 หลังจากการพ่ายในสงครามภาคพื้นแปซิฟิกและเป็นประเทศเดียวที่ถูกทิ้งปรมาณู ญี่ปุ่นได้มุ่งพัฒนาให้เป็นประเทศที่มีอิสระและสันติภาพ
ที่มา : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=pongpinyo&month=02-2008&date=10&group=6&gblog=2
แหล่งกำเนิดของภาษาญี่ปุ่น
แหล่งกำเนิดของภาษาญี่ปุ่น
จำนวนภาษาทั้งหมดในโลกนี้ แบ่งออกได้เป็นหลายตระกูล เช่น อินโด-ยูโรเปียน (Indo - european) , ซีโนทิเบตัน (Sino - tinetan) , ออสโตรเอเชียติก (Austro - asiatic) , ออสโตรเนเซียน (Austro - nesian) , อูราล (Ural) , อัลไต (Altai) , เป็นต้น
ในตระกูลภาษาอัลไต (Altai) มีภาษาเกาหลี มองโกเลีย แมนจูเรีย ตุรกี เป็นต้น เมื่อเปรียนเทียบกับภาษาญี่ปุ่น จะพบว่าลักษณะของภาษาญี่ปุ่นบางส่วนคล้ายคลึงกับภาษาเกาหลี จึงสันนิษฐานว่า เมื่อหลายพันปีที่แล้ว ภาษาญี่ปุ่นอาจเป็นสาขาหนึ่งท่แยกออกมาจากตระกูลภาษาอัลไต ปัจจุบันภาษาญี่ปุ่นที่คล้ายลึงกับภาษาเกาหลีมีเพียงประมาณ 200 คำเท่านั้น
ภาษาไอนุ (Ainu) แตกต่างจากภาษาญี่ปุ่นมาก ดั้งนั้นภาษาไอนุและภาษาญี่ปุ่นจึงไม่ได้เป็นภาษาในตระกูลเดียวกันอย่างแน่ นอน ถึงแม้ว่าชาวญี่ปุ่นใช้อักษรจีน และใช้คำที่ขอยืมมาจากภาษาจีนเป็นจำนวนมาก แต่ภาษาญี่ปุ่นก็ไม่ได้อยู่ในตระกูลซีโนทิเบตัน (Sino - tinetan) ในทำนองเดียวกับภาษาไทย แม้จะใช้อักษรแบบอินเดียใต้ และใช้คำสันสกฤตมากมาย แต่ภาษาไทยก็ไม่ใช่ภาษาในตระกูลอินโดยูโรเปียน (Indo - european)
ภาษาๆ ในแถบทะเลใต้แทบจะไม่มีภาษาใดคล้ายคลึงกับภาษาญี่ปุ่น แต่ภาษาที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับภาษาญี่ปุ่นมากที่สุดก็ คือ ภาษาโปลิเนเซียน (Polynesian) กล่าวคือ สระของภาษาโปลิเนเซียนมี 5 ตัว และรากศัพท์ของคำบางคำที่เกี่ยวกับร่างกายในภาษาโปลิเนเซียนคล้ายคลึงกับ ภาษาญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม นอกจากจำนวนสระ และรากศัพท์ของคำบางคำที่เกี่ยวกับร่างกายที่คล้ายคลึงกันแล้ว ภาษาญี่ปุ่นกับภาษาโปลิเนเซียนก็ไม่มีอะไรคล้ายคลึงกันอีกเลย และถึงแม้จะมีผู้กล่าวว่าภาษาโอะคินะวะ (Okinawa) เป็นเพียงภาษาเดียวที่คล้ายคลึงกับภาษาญี่ปุ่นมากที่สุด แต่จากหลักฐานที่ปรากฎ พบว่าภาษาโอะคินะวะจัดเป็นภาษาท้องถิ่นอย่างหนึ่งของภาษาญี่ปุ่น ดังนั้น ภาษาญี่ปุ่นจึงเป็นเอกภาพ ไม่ขึ้นกับตระกูลใดๆ เช่นเดียวกับภาษาไอนุ และภาษาเวียดนาม
แต่ละชาติมีภาษาของตนเอง ส่วนอักษรขึ้นอยู่กับวัฒนธรรม ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลด้านวัฒนธรรมจากจีนมาก เช่นเดียวกับที่ไทยได้รับอิทธิพลจากอินเดีย ดังนั้น ตัวอักษรของภาษาญี่ปุ่นจึงมีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกับอักษรจีน
เอกสารโบราณในภาษาญี่ปุ่นที่สามารถใช้อ้างอิงได้ มีย้อนหลังไปจนถึง ศตวรรษที่ 8 ส่วนภาษาไอนุมีเพียง 200 ปีก่อน ภาษาเกาหลี 500 ปีก่อน ภาษามองโกเลียมีเอกสารที่จะใช้อ้างอิงได้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 ภาษาตรุกีนั้นมีตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 ส่วนภาษาของชาวเกาะแถบมหาสมุทรแปซิฟิกไม่มีเอกสารเก่าเลย
ที่มา : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=pongpinyo&month=02-2008&date=10&group=6&gblog=4
จำนวนภาษาทั้งหมดในโลกนี้ แบ่งออกได้เป็นหลายตระกูล เช่น อินโด-ยูโรเปียน (Indo - european) , ซีโนทิเบตัน (Sino - tinetan) , ออสโตรเอเชียติก (Austro - asiatic) , ออสโตรเนเซียน (Austro - nesian) , อูราล (Ural) , อัลไต (Altai) , เป็นต้น
ในตระกูลภาษาอัลไต (Altai) มีภาษาเกาหลี มองโกเลีย แมนจูเรีย ตุรกี เป็นต้น เมื่อเปรียนเทียบกับภาษาญี่ปุ่น จะพบว่าลักษณะของภาษาญี่ปุ่นบางส่วนคล้ายคลึงกับภาษาเกาหลี จึงสันนิษฐานว่า เมื่อหลายพันปีที่แล้ว ภาษาญี่ปุ่นอาจเป็นสาขาหนึ่งท่แยกออกมาจากตระกูลภาษาอัลไต ปัจจุบันภาษาญี่ปุ่นที่คล้ายลึงกับภาษาเกาหลีมีเพียงประมาณ 200 คำเท่านั้น
ภาษาไอนุ (Ainu) แตกต่างจากภาษาญี่ปุ่นมาก ดั้งนั้นภาษาไอนุและภาษาญี่ปุ่นจึงไม่ได้เป็นภาษาในตระกูลเดียวกันอย่างแน่ นอน ถึงแม้ว่าชาวญี่ปุ่นใช้อักษรจีน และใช้คำที่ขอยืมมาจากภาษาจีนเป็นจำนวนมาก แต่ภาษาญี่ปุ่นก็ไม่ได้อยู่ในตระกูลซีโนทิเบตัน (Sino - tinetan) ในทำนองเดียวกับภาษาไทย แม้จะใช้อักษรแบบอินเดียใต้ และใช้คำสันสกฤตมากมาย แต่ภาษาไทยก็ไม่ใช่ภาษาในตระกูลอินโดยูโรเปียน (Indo - european)
ภาษาๆ ในแถบทะเลใต้แทบจะไม่มีภาษาใดคล้ายคลึงกับภาษาญี่ปุ่น แต่ภาษาที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับภาษาญี่ปุ่นมากที่สุดก็ คือ ภาษาโปลิเนเซียน (Polynesian) กล่าวคือ สระของภาษาโปลิเนเซียนมี 5 ตัว และรากศัพท์ของคำบางคำที่เกี่ยวกับร่างกายในภาษาโปลิเนเซียนคล้ายคลึงกับ ภาษาญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม นอกจากจำนวนสระ และรากศัพท์ของคำบางคำที่เกี่ยวกับร่างกายที่คล้ายคลึงกันแล้ว ภาษาญี่ปุ่นกับภาษาโปลิเนเซียนก็ไม่มีอะไรคล้ายคลึงกันอีกเลย และถึงแม้จะมีผู้กล่าวว่าภาษาโอะคินะวะ (Okinawa) เป็นเพียงภาษาเดียวที่คล้ายคลึงกับภาษาญี่ปุ่นมากที่สุด แต่จากหลักฐานที่ปรากฎ พบว่าภาษาโอะคินะวะจัดเป็นภาษาท้องถิ่นอย่างหนึ่งของภาษาญี่ปุ่น ดังนั้น ภาษาญี่ปุ่นจึงเป็นเอกภาพ ไม่ขึ้นกับตระกูลใดๆ เช่นเดียวกับภาษาไอนุ และภาษาเวียดนาม
แต่ละชาติมีภาษาของตนเอง ส่วนอักษรขึ้นอยู่กับวัฒนธรรม ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลด้านวัฒนธรรมจากจีนมาก เช่นเดียวกับที่ไทยได้รับอิทธิพลจากอินเดีย ดังนั้น ตัวอักษรของภาษาญี่ปุ่นจึงมีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกับอักษรจีน
เอกสารโบราณในภาษาญี่ปุ่นที่สามารถใช้อ้างอิงได้ มีย้อนหลังไปจนถึง ศตวรรษที่ 8 ส่วนภาษาไอนุมีเพียง 200 ปีก่อน ภาษาเกาหลี 500 ปีก่อน ภาษามองโกเลียมีเอกสารที่จะใช้อ้างอิงได้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 ภาษาตรุกีนั้นมีตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 ส่วนภาษาของชาวเกาะแถบมหาสมุทรแปซิฟิกไม่มีเอกสารเก่าเลย
ที่มา : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=pongpinyo&month=02-2008&date=10&group=6&gblog=4
ฤดูกาล
ฤดูกาลในประเทศญี่ปุ่น
ฤดูในประเทศญี่ปุ่นจะแบ่งออกเป็น 4 ฤดู คือ
1. ฤดูใบไม้ผลิ (Haru) เดือน มีนาคม - พฤษภาคม ในประเทศญี่ปุ่น การผลิบานของดอกซากุระเป็นเครื่องหมายที่บอกถึงการสิ้นสุดของฤดูหนาวและการ มาเยือนของฤดูใบไม้ผลิ ในแต่ละเขตทุกคนต่างเฝ้ารอการผลิบานของดอกซากุระ เริ่มจากทางเหนือของเกาะโอกินาวา ไปจนถึงเกาะฮอกไกโด นับจากปลายเดือนมีนาคมจนถึงกลางเดือนพฤษภาคม ในเทศกาลชมดอกไม้ (Ohanami) ชาวญี่ปุ่นนิยมใช้โอกาสนี้ออกไปดื่มสังสรรค์กับเพื่อนฝูงใต้ต้นซากุระ นับว่าเป็นเทศกาลที่ชาวญี่ปุ่นเฝ้ารอในแต่ละปี ในสวนสาธารณะหรือห้างสรรพสินค้าต่างๆ จะมีการประดับตกแต่งด้วยดอกซากุระ รวมถึงมีการทำขนมเป็นรูปดอกซากุระ และนำซากุระมาเป็นส่วนผสมอีกด้วย หากินได้เฉพาะในเทศกาลนี้เท่านั้น
2. ฤดูร้อน (Natsu) เดือน มิถุนายน - สิงหาคม ในช่วงฤดูร้อนนี้ ฝนจะตกทั่วประเทศญี่ปุ่น ยกเว้นที่เกาะฮอกไกโด เมื่อช่วงเวลาที่ฝนตกนี้สิ้นสุดจะเป็นช่วงของฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงที่ข้าวออกรวง จะมีวันที่กลางวันยาวที่สุด เรียกว่า เกะชิ (Geishi) ซึ่งมักจะตรงกับวันที่ 21 มิถุนายนของทุกปี ฤดูร้อนนี้ยังเป็นฤดูแห่งเทศกาลดอกไม้ไฟ ผู้คนนิยมใส่ชุดยูกาตะทั้งชายหญิงออกไปชมพลุไฟตามชุมชนต่าง และมีการเต้นรำพื้นเมือง (Bon Odori) กันอย่างสนุกสนาน
3. ฤดูใบไม้ร่วง (Aki) เดือน กันยายน - พฤษจิกายน ในเดือนตุลาคม ใบไม้จะมีสีสันสวยงาม ในขณะที่การผลิบานของดอกซากุระเป็นสัญลักษณ์ของฤดูใบไม้ผลิ สัญลักษณ์ของฤดูใบไม้ร่วงก็คือดอกเบญจมาศ ในฤดูนี้นับว่าเป็นช่วงเวลาที่สบายที่สุดและเหมาะสมสำหรับการท่องเที่ยวใน ญี่ปุ่น บริเวณที่มีการเปลี่ยนสีสันของใบไม้ผู้คนนิยมไปท่องเที่ยว อาทิ เขต Aomori และบริเวณอะราชิยามาในจังหวัดเกียวโต ชาวญี่ปุ่นนั้นให้ความสำคัญต่อการเปลี่ยนฤดูเป็นอย่างมาก ดังนั้นในแต่ละฤดูจะมีการท่องเที่ยวเพื่อชมความสวยงามของธรรมชาติในแต่ละฤดู กันอย่างมาก
4. ฤดูหนาว (Fuyu) เดือน ธันวาคม - กุมภาพันธ์ ปลายเดือนตุลาคม มวลอากาศบริเวณไซบีเรียเริ่มก่อตัว การพัดของลมหนาวที่มีชื่อว่า "โคการาชิ" แสดงถึงการมาเยือนของฤดูหนาวที่บริเวณเกาะฮอกไกโด โดยตอนเหนือจะมีอากาศหนาวกว่าภาคอื่นๆ และมีการจัดเทศกาลหิมะประจำปี ซึ่งมีนักท่องเที่ยวจากจังหวัดต่างๆ เดินทางมาชมการแข่งขันออกแบบหิมะในรูปแบบต่างๆ ในช่วงสิ้นปี ครอบครัวชาวญี่ปุ่นต่างฉลองด้วยอาหารมื้อพิเศษ เรียกว่า "Osechi Ryouri" โดยอาหารที่รับประทานจะมีความหมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง รวมถึงด้านสุขภาพและอายุยืนยาว ชาวญี่ปุ่นยังนิยมไปสักการะที่ศาลเจ้าเพื่อเป็นสิริมงคล ช่วงกลางคืนของวันที่ 31 ธันวาคม วัดทุกแห่งในประเทศญี่ปุ่นจะตีระฆัง 108 ครั้ง ตามประเพณีที่ เรียกว่า โจะยะ โนะ คาเนะ (Jyoya no kane)
ที่มา : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=pongpinyo&month=02-2008&date=12&group=6&gblog=6
ฤดูในประเทศญี่ปุ่นจะแบ่งออกเป็น 4 ฤดู คือ
1. ฤดูใบไม้ผลิ (Haru) เดือน มีนาคม - พฤษภาคม ในประเทศญี่ปุ่น การผลิบานของดอกซากุระเป็นเครื่องหมายที่บอกถึงการสิ้นสุดของฤดูหนาวและการ มาเยือนของฤดูใบไม้ผลิ ในแต่ละเขตทุกคนต่างเฝ้ารอการผลิบานของดอกซากุระ เริ่มจากทางเหนือของเกาะโอกินาวา ไปจนถึงเกาะฮอกไกโด นับจากปลายเดือนมีนาคมจนถึงกลางเดือนพฤษภาคม ในเทศกาลชมดอกไม้ (Ohanami) ชาวญี่ปุ่นนิยมใช้โอกาสนี้ออกไปดื่มสังสรรค์กับเพื่อนฝูงใต้ต้นซากุระ นับว่าเป็นเทศกาลที่ชาวญี่ปุ่นเฝ้ารอในแต่ละปี ในสวนสาธารณะหรือห้างสรรพสินค้าต่างๆ จะมีการประดับตกแต่งด้วยดอกซากุระ รวมถึงมีการทำขนมเป็นรูปดอกซากุระ และนำซากุระมาเป็นส่วนผสมอีกด้วย หากินได้เฉพาะในเทศกาลนี้เท่านั้น
2. ฤดูร้อน (Natsu) เดือน มิถุนายน - สิงหาคม ในช่วงฤดูร้อนนี้ ฝนจะตกทั่วประเทศญี่ปุ่น ยกเว้นที่เกาะฮอกไกโด เมื่อช่วงเวลาที่ฝนตกนี้สิ้นสุดจะเป็นช่วงของฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงที่ข้าวออกรวง จะมีวันที่กลางวันยาวที่สุด เรียกว่า เกะชิ (Geishi) ซึ่งมักจะตรงกับวันที่ 21 มิถุนายนของทุกปี ฤดูร้อนนี้ยังเป็นฤดูแห่งเทศกาลดอกไม้ไฟ ผู้คนนิยมใส่ชุดยูกาตะทั้งชายหญิงออกไปชมพลุไฟตามชุมชนต่าง และมีการเต้นรำพื้นเมือง (Bon Odori) กันอย่างสนุกสนาน
3. ฤดูใบไม้ร่วง (Aki) เดือน กันยายน - พฤษจิกายน ในเดือนตุลาคม ใบไม้จะมีสีสันสวยงาม ในขณะที่การผลิบานของดอกซากุระเป็นสัญลักษณ์ของฤดูใบไม้ผลิ สัญลักษณ์ของฤดูใบไม้ร่วงก็คือดอกเบญจมาศ ในฤดูนี้นับว่าเป็นช่วงเวลาที่สบายที่สุดและเหมาะสมสำหรับการท่องเที่ยวใน ญี่ปุ่น บริเวณที่มีการเปลี่ยนสีสันของใบไม้ผู้คนนิยมไปท่องเที่ยว อาทิ เขต Aomori และบริเวณอะราชิยามาในจังหวัดเกียวโต ชาวญี่ปุ่นนั้นให้ความสำคัญต่อการเปลี่ยนฤดูเป็นอย่างมาก ดังนั้นในแต่ละฤดูจะมีการท่องเที่ยวเพื่อชมความสวยงามของธรรมชาติในแต่ละฤดู กันอย่างมาก
4. ฤดูหนาว (Fuyu) เดือน ธันวาคม - กุมภาพันธ์ ปลายเดือนตุลาคม มวลอากาศบริเวณไซบีเรียเริ่มก่อตัว การพัดของลมหนาวที่มีชื่อว่า "โคการาชิ" แสดงถึงการมาเยือนของฤดูหนาวที่บริเวณเกาะฮอกไกโด โดยตอนเหนือจะมีอากาศหนาวกว่าภาคอื่นๆ และมีการจัดเทศกาลหิมะประจำปี ซึ่งมีนักท่องเที่ยวจากจังหวัดต่างๆ เดินทางมาชมการแข่งขันออกแบบหิมะในรูปแบบต่างๆ ในช่วงสิ้นปี ครอบครัวชาวญี่ปุ่นต่างฉลองด้วยอาหารมื้อพิเศษ เรียกว่า "Osechi Ryouri" โดยอาหารที่รับประทานจะมีความหมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง รวมถึงด้านสุขภาพและอายุยืนยาว ชาวญี่ปุ่นยังนิยมไปสักการะที่ศาลเจ้าเพื่อเป็นสิริมงคล ช่วงกลางคืนของวันที่ 31 ธันวาคม วัดทุกแห่งในประเทศญี่ปุ่นจะตีระฆัง 108 ครั้ง ตามประเพณีที่ เรียกว่า โจะยะ โนะ คาเนะ (Jyoya no kane)
ที่มา : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=pongpinyo&month=02-2008&date=12&group=6&gblog=6
แมวกวักนำโชคญี่ปุ่น
แมวกวักนำโชคญี่ปุ่น
ตามคติความเชื่อของประเทศญี่ปุ่นจะเรียก "มาเนะคิเนะโกะ : แมวกวักนำโชคญี่ปุ่นแมวที่ทำหน้าที่เชื้อเชิญเงินทอง โชคลาภ" ซึ่งภาษาญี่ปุ่น มาเนะคิ : เชื้อเชิญ และเนะโกะ : แมว ความเชื่อเรื่องแมวนำโชคนี้มีมานานกว่า 400 ปีมาแล้ว เขามีตำนานกันด้วยนะ
ตามตำนานเล่าว่ามีหญิงชราคนหนึ่ง มีฐานะยากจนมาก แต่ก็พยายามจะเจียดอาหารเท่าที่มีแบ่งเลี้ยงแมวที่เธอรัก แต่วันหนึ่งเธอก็ไม่สามารถเลี้ยงแมวตัวนั้นต่อไปได้อีก เธอจึงนำมันไปปล่อย คืนนั้นเธอนอนร้องไห้ด้วยความเสียใจ แล้วเธอก็ฝันเห็นแมวมาบอกให้เธอปั้นรูปแมวด้วยดินเหนียว แล้วจะทำให้โชคดี
หญิงชราตื่นขึ้นมาก็ปั้นแมวด้วยดินเหนียวตามความฝัน วันนั้นมีแขกมาหา และขอซื้อแมวตัวนั้นไป ยิ่งหญิงชราปั้นแมวมากเท่าใด ก็มีคนมาขอซื้อมากขึ้นเท่านั้น ในที่สุดเธอก็มีเงินมากพอที่จะเลี้ยงแมวที่เธอรักตลอดไป
หลังจากนั้นมากคนญี่ปุ่น ก็มีความเชื่อว่าแมวเป็นสัตว์นำโชค จึงมีการทำเป็นแมวนางกวักที่เราได้เห็นๆ กันทั่วไป แต่มีข้อสังเกตด้วยนะ แมวที่กวักมือซ้ายจะเรียกคนเข้าร้าน ยิ่งยกแขนกวักสูงแค่ไหน ก็เรียกคนได้มากแค่นั้น แต่ถ้ากวักมือขวา เป็นการเรียกเงินทอง และความโชคดีเข้าบ้าน
ส่วนแมวสามสีกวักมือซ้ายที่ถือว่าโชคดีที่สุด เงินทองไหลมากเทมาเลยหล่ะ และแมวสีดำ ผู้หญิงญี่ปุ่นก็มีความเชื่อว่าสามารถใช้เป็นเครื่องรางป้องกันภัยอัตราย ทั้งปวงได้
แมวกวักนำโชคญี่ปุ่น
• กวักมือซ้าย : การงาน
• กวักมือขวา : โชคลาภ
• แมวถือลูกแก้ว , แมวพนมมือ : การขอพร
ความหมายของสัตว์ต่างๆ
• เต่า : อายุยืนยาว
• กบ : ความสุข โชคดี
• กระต่าย : ความรัก , ความสุข
• รองเท้าเกี๊ยะ : การเดินทางไปพบความสำเร็จ
• นกฮูก : การอยู่ดี กินดี ไม่ลำบาก , การเรียนดี
ความหมายของสี
• สีฟ้า , ขาว : ความสุข
• สีม่วง : สุขภาพ
• สีเทา : โชคดี
• สีเหลือง : เงินทอง โชคลาภ
• สีแดง : ประสบความสำเร็จ
• สีชมพู : ความรัก
• สีเขียว : สมปรารถนา , การเรียน
• สีดำ : ปลอดภัย
ที่มา :http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=pongpinyo&month=02-2008&date=17&group=6&gblog=10
ตามคติความเชื่อของประเทศญี่ปุ่นจะเรียก "มาเนะคิเนะโกะ : แมวกวักนำโชคญี่ปุ่นแมวที่ทำหน้าที่เชื้อเชิญเงินทอง โชคลาภ" ซึ่งภาษาญี่ปุ่น มาเนะคิ : เชื้อเชิญ และเนะโกะ : แมว ความเชื่อเรื่องแมวนำโชคนี้มีมานานกว่า 400 ปีมาแล้ว เขามีตำนานกันด้วยนะ
ตามตำนานเล่าว่ามีหญิงชราคนหนึ่ง มีฐานะยากจนมาก แต่ก็พยายามจะเจียดอาหารเท่าที่มีแบ่งเลี้ยงแมวที่เธอรัก แต่วันหนึ่งเธอก็ไม่สามารถเลี้ยงแมวตัวนั้นต่อไปได้อีก เธอจึงนำมันไปปล่อย คืนนั้นเธอนอนร้องไห้ด้วยความเสียใจ แล้วเธอก็ฝันเห็นแมวมาบอกให้เธอปั้นรูปแมวด้วยดินเหนียว แล้วจะทำให้โชคดี
หญิงชราตื่นขึ้นมาก็ปั้นแมวด้วยดินเหนียวตามความฝัน วันนั้นมีแขกมาหา และขอซื้อแมวตัวนั้นไป ยิ่งหญิงชราปั้นแมวมากเท่าใด ก็มีคนมาขอซื้อมากขึ้นเท่านั้น ในที่สุดเธอก็มีเงินมากพอที่จะเลี้ยงแมวที่เธอรักตลอดไป
หลังจากนั้นมากคนญี่ปุ่น ก็มีความเชื่อว่าแมวเป็นสัตว์นำโชค จึงมีการทำเป็นแมวนางกวักที่เราได้เห็นๆ กันทั่วไป แต่มีข้อสังเกตด้วยนะ แมวที่กวักมือซ้ายจะเรียกคนเข้าร้าน ยิ่งยกแขนกวักสูงแค่ไหน ก็เรียกคนได้มากแค่นั้น แต่ถ้ากวักมือขวา เป็นการเรียกเงินทอง และความโชคดีเข้าบ้าน
ส่วนแมวสามสีกวักมือซ้ายที่ถือว่าโชคดีที่สุด เงินทองไหลมากเทมาเลยหล่ะ และแมวสีดำ ผู้หญิงญี่ปุ่นก็มีความเชื่อว่าสามารถใช้เป็นเครื่องรางป้องกันภัยอัตราย ทั้งปวงได้
แมวกวักนำโชคญี่ปุ่น
• กวักมือซ้าย : การงาน
• กวักมือขวา : โชคลาภ
• แมวถือลูกแก้ว , แมวพนมมือ : การขอพร
ความหมายของสัตว์ต่างๆ
• เต่า : อายุยืนยาว
• กบ : ความสุข โชคดี
• กระต่าย : ความรัก , ความสุข
• รองเท้าเกี๊ยะ : การเดินทางไปพบความสำเร็จ
• นกฮูก : การอยู่ดี กินดี ไม่ลำบาก , การเรียนดี
ความหมายของสี
• สีฟ้า , ขาว : ความสุข
• สีม่วง : สุขภาพ
• สีเทา : โชคดี
• สีเหลือง : เงินทอง โชคลาภ
• สีแดง : ประสบความสำเร็จ
• สีชมพู : ความรัก
• สีเขียว : สมปรารถนา , การเรียน
• สีดำ : ปลอดภัย
ที่มา :http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=pongpinyo&month=02-2008&date=17&group=6&gblog=10
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)